นางจินดา สายโสภา ชาวนา อ.ตาลสุม จ.อุบลราชธานี เปิดเผยว่าตนมีที่นา 13 ไร่เดิมก็ทำนาโดยพึ่งพาสารเคมีเหมือนเกษตรกรทั่วๆไป จนกระทั่งลูกแนะนำให้มาทำนาเกษตรอินทรีย์ ตนจึงได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมและได้ตัดสินใจเข้าสู่การทำนาระบบเกษตรอินทรีย์เมื่อหลายปีก่อน
นางจินดา เล่าถึงปัญหาอุปสรรคในการทำนาอินทรีย์ว่าตนต้องสู้รบปรบมือกับหญ้าวัชพืชตัวฉกาจ ต้องใช้ทั้งกลยุทธ์ภูมิปัญญา ประสบการณ์เพื่อปรับสถานการณ์รู้เท่าทันธรรมชาติ ใช้ปุ๋ยคอก มูลวัว ควาย ขี้ไก่ หลังเกี่ยวจะไถกลบฟาง เพื่อจะได้เป็นปุ๋ยแบบธรรมชาติ แม้จะเป็นอุปสรรคกับการไถกลบแต่ตนไม่คำนึงข้อนั้นขอเพียงได้ปุ๋ยธรรมชาติบอกหลานชายซึ่งเป็นคนไถว่าทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น

นางจินดา เผยว่า พื้นที่ 13 ไร่ตนปลูกข้าวพันธุ์พื้นเมืองหลายสายพันธุ์ ทั้งเหนียวแดง เหนียวดำ เหนียวขาว มะลิแดง มะลิขาว ถามว่าการทำนาปกติกับทำนาอินทรีย์อย่างไหนทำยากกว่ากัน นางจินดาตอบว่าการทำนาทำยากเท่ากัน แต่การทำนาอินทรีย์เหนื่อยครั้งเดียว เมื่อปรับสภาพดินตามธรรมชาติอยู่ตัวแล้ว ใช้เพียงปุ๋ยคอก ขี้ไก่ ลงไถกลบ จะยุ่งยากเพียงขั้นตอนการหว่านที่ต้องมีเคล็ดลับในการปราบหญ้าโดยธรรมชาติ บางครั้งต้องไถกลบถึง 3 ครั้ง เมื่อเจอสถานการณ์หญ้าท่วมข้าวแม้จะเป็นอุปสรรคตนก็ไม่ย่อท้อ
ส่วนแรงงานตนทำเองมีเพียงหลานและญาติสนิทในครอบครัวเท่านั้นเป็นแรงงานเสริมลักษณะเอื้อเฟื้อโดยเฉพาะหลานชายที่มาช่วยไถ จากเดิมที่ต้องใช้แรงงานมาก ค่าใช้จ่ายมากส่วนใหญ่หมดไปกับปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืช ยาฆ่าหญ้า ซึ่งสารเคมีส่งผลให้ดินแข็งดินตาย
ในตอนหนึ่งนางจินดาชี้ให้เห็นและสังเกตว่าข้าวสารของตนซึ่งเป็นข้าวอินทรีย์สีมาได้เพียงสัปดาห์เดียวมอดมาขึ้นในขณะที่ข้าวสารที่ขายตามร้านค้าทั่วไปอยู่เป็นเดือนมอดแมงก็ไม่มี
ในตอนหนึ่งนางจินดาเปรยว่ามีบางคนปรามาศตนว่าทำนาแบบเงินหมุ่น(เงินย่อยกระจายไม่เป็นก้อน)…ตนตอบไปว่า…. “หมุ่นก็ซ่างมัน ยามแม่ไปถอนเงินมาบ่มีใบสิบใบซาวดอกมีแต่ใบพัน…”นางจินดา กล่าวเชิงเย้ยในที หนึ่งในวิธีคิดที่เกษตรกรรายนี้เปิดเผยกับทีมข่าว คือ ขายข้าวเปลือกให้โรงสีไม่ได้ราคาสู้สีข้าวขายเองไม่ได้ จึงปรับมาสีข้าวขายเอง ซึ่งขายทั้งปีโดยมีลูกเป็นการตลาดให้ ส่วนตัวเองก็ขายในหมู่บ้านมีรายได้ตลอดทั้งปี
ด้านนางคนึงนุช วงศ์เย็น ผู้ประสานงานโครงการกินสบายใจ ได้แสดงความเห็นว่าแนวทางหนึ่งที่จะร่วมอนุรักษ์พันธุ์ข้าวพื้นเมืองต้องมีตลาด ต้องขายให้คนกินเพื่อเผยแพร่พันธุ์ข้าว ส่วนการขยายพันธุ์การแบ่งปันเมล็ดพันธุ์เป็นส่วนหนึ่ง ที่สำคัญผู้บริโภคต้องได้กิน

นางคนึงนุช กล่าวต่อว่าปัจจุบันมีกลุ่มทำนาอินทรีย์ที่เข้มแข็ง เช่นกลุ่มอนุรักษ์พันธุกรรมบ้านนาเยีย และอ.สำโรง จ.อุบลฯ ภาคอีสานมีความเหมาะสมในการปลูกข้าวพันธุ์พื้นเมือง เช่น ไรท์เบอรี่,หอมมะลิแดง,หอมมะลิ 105,เหนียวลืมผัว,เหนียวก่ำ เหนียวดำ เหนียวแดง เหนียวขาวพื้นบ้าน ซึ่งคุณสมบัติโดดเด่นของข้าวพันธุ์พื้นเมืองดัชนีน้ำตาลต่ำ มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
นางคนึงนุช ย้ำตอนท้ายว่าการทำนาอินทรีย์จะช่วยรักษาระบบนิเวศ สิ่งแวดล้อม ลดต้นทุนการผลิต เป็นการทำนาประณีต คนทำต้องมีความเพียร ขยัน และมีการถอดบทเรียน พร้อมเชิญชวนผู้บริโภคอุดหนุนผลผลิตเกษตรกรอินทรีย์ เพื่อส่งเสริมรายได้เกษตรกรและเพื่อสุขภาพของผู้บริโภคเอง
สนใจข้าวอินทรีย์แสงแรก แม่จินดา สายโสภา ติดต่อได้ที่ LINE OA : @ubonconnect วงเล็บไปว่า (ข้าวอินทรีย์แม่จินดา)