ข่าวด่วน
Mon. Jun 30th, 2025

โรงสีชี้ช่วยกันชู Thai Hom Mali Rice ตรารวงข้าว แบรนด์ไทย แทน Jasmin rice ชื่อเดิมที่คู่แข่งนำไปใช้

ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ธปท. สภอ.) ได้จัดงานสัมมนาวิชาการสัญจร ประจำปี 2566 หัวข้อ “ขับเคลื่อนภาคเกษตรอีสานให้ “เปลี่ยนผ่าน” สู่ความยั่งยืน” ในวันศุกร์ที่ 1 ธันวาคม 2566 เวลา 09.00-11.30 น. ณ ห้องประชุมสามพันโบก แกรนด์บอลรูม โรงแรมเซ็นทารา อุบล อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี นำโดย ดร. ทรงธรรม ปิ่นโต ผู้อำนวยการอาวุโส ธปท. สภอ. เพื่อให้ประชาชนทั่วไป ได้ตระหนักรู้การเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจภาพรวมของภาคอีสาน

ซึ่งในช่วงสุดท้าย เป็นการเสวนาภายใต้หัวข้อ “ท้องถิ่นชวนคุย ชวนคิด สร้างเศรษฐกิจอีสานใหม่”มีผู้ทรงคุณวุฒิ 4 ท่าน ได้แก่

สินสมุทร ศรีแสนปาง ผู้จัดการ บจก. โรงสีศรีแสงดาว


นงค์ลักษณ์ อัศวสกุลชัย ผู้นำวิสาหกิจชุมชนแปรรูปข้าวอินทรีย์แบรนด์ “ข้าวสุข”

วุฒิพงษ์ พลอยวิเลิศ ประธานสภาเกษตร จ.กาฬสินธุ์

ชวลิต ถิ่นวงศ์พิทักษ์ ผู้อำนวยการโครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธาน

โดยมี นพภา พันธุ์เพ็ง ประธานมูลนิธิสื่อสร้างสุข เป็นผู้ดำเนินรายการ

จากซ้าย วุฒิพงษ์,นงค์ลักษณ์,สินสมุทร,ดร.ชวลิต,นพภา

มีเนื้อหาเน้นไปที่การเศรษฐกิจภาคเกษตร เพราะเป็น 1 ใน 3 ของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

จากการเสวนาสรุปประเด็นสำคัญได้ 3 ข้อ ดังนี้

(1) ทำไมภาคเกษตรอีสานถึงต้องปรับเปลี่ยน จากวิกฤตและโอกาสในปัจจุบันที่เปลี่ยนไป วิกฤตเปลี่ยน ได้แก่ อากาศเปลี่ยนทำให้ปริมาณน้ำฝนเปลี่ยนและพยากรณ์ได้ยากขึ้น อายุเปลี่ยน เกษตรกรอีสานอายุสูงที่สุดเมื่อเทียบกับภาคอื่นอีกทั้งย้ายมาอยู่ในเมืองมากขึ้น ทำให้แรงงานภาคเกษตรลดลงโดยเฉพาะรุ่นใหม่  ปัจจัยการผลิตเปลี่ยนทั้งปุ๋ย ค่าไฟฟ้า ที่ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนจากการบริโภคข้าวลดลงแต่ต้องการข้าวที่มีคุณภาพมากขึ้นทั้งความหอม ความนุ่ม และความปลอดภัย โดยต่างประเทศที่เป็นลูกค้าหลักของไทย เช่น จีน ได้มีมาตรฐานของตนเองที่มีลักษณะเฉพาะ จึงเป็นความท้าทายที่มากกว่าเดิม ในขณะเดียวกันโอกาสเปลี่ยนจากการมีเทคโนโลยีที่จะมาช่วยทั้งการตลาดและการผลิต

(2) อะไรเป็นอุปสรรคในการปรับตัวของภาคเกษตรอีสาน เกษตรกรมักมองว่ายังไม่ถึงเวลาเปลี่ยนแปลง ขณะที่อีกกลุ่มปรับตัวช้า เพราะอยู่ไกลความเจริญ จึงเข้าถึงข้อมูลและบริการได้ล่าช้าและยาก อีกทั้งไม่มีการจดบันทึกเพื่อส่งต่อความรู้ นอกจากนั้น การส่งเสริมจากภาครัฐเป็นนโยบายแบบเหมารวม ไม่เหมาะสมกับเกษตรกรแต่ละกลุ่ม

(3) แนวทางการปรับตัวของภาคเกษตรอีสาน ต้องเริ่มจากความเชื่อ มีความรู้ และลงมือทำ ความเชื่อนั้นต้องเชื่อก่อนว่า ทุกอย่างสามารถเป็นไปได้ จึงจะเปิดใจรับสิ่งใหม่ ๆ เช่น การทำนาหยอดแบบแห้งที่เหมาะกับบริบทภาคอีสานเพราะทนแล้งได้ดี ช่วยให้ข้าวหยั่งรากลึก ลดต้นทุนจากการใช้เมล็ดพันธุ์จาก 35 กก.ต่อไร่ เหลือเพียง 1 กก. ต่อไร่ แต่เพิ่มผลผลิตได้ 2 เท่า ต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 2-3 ปี จึงจะเห็นผลลัพธ์

ความรู้ ควรมีความรู้ที่ถูกต้องและควรหมั่นสอบถามผู้รู้อย่างสม่ำเสมอ

และการลงมือทำ ในระยะแรกอาจเริ่มจากการแบ่งพื้นที่ทำการทดลอง เพราะเกษตรกรส่วนใหญ่กลัวความเสี่ยงด้านรายได้ซึ่งได้เพียงปีละครั้ง นอกจากนั้น เกษตรกรจะอยู่รอดได้ควรต้องเป็นทั้งผู้ผลิต ผู้ประกอบ นักการตลาด และนักวิจัย โดยรวมกลุ่มเรียนรู้ด้วยกันอาศัยประโยชน์จากความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกัน โดยสิ่งสำคัญ คือ เกษตรกรต้องตระหนักว่า ทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ต้องพร้อมปรับตัว

ก่อนจบการเสวนาผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ตอบคำถามและให้ความเห็นแก่ผู้ชม อาทิ ประเด็นภาครัฐควรจะมีนโยบายด้านเกษตรกรรมอย่างไรต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคปัจจุบัน

คุณวุฒิพงษ์เสนอภาครัฐควรเลิกวงจรเฉพาะส่งเสริมการเกษตร – การประกวด แล้วจบโครงการ ควรส่งเสริมให้เกิดความยั่งยืนเน้นสร้างรายได้ เป็นธุรกิจ ต่อยอด สร้างอาชีพส่งต่อลูกหลานได้ อนึ่ง การของบประมาณโครงการต่างๆมีความล่าช้า โครงการที่สภาเกษตรฯเสนอบางครั้งใช้งบ 2 – 3 ปี

ประเด็นปัญหาหนี้สินเกษตรกร

รศ.ดร.ชวลิต แนะการแก้หนี้สิน เช่นการพัฒนาเกษตรกรสู่การเป็นผู้ประกอบการ เปลี่ยนจากการให้เงินสนับสนุนเป็นเพิ่มทักษะด้านบริหารธุรกิจ ต้องเข้าใจหนี้เป็นภาระ อย่าใช้ผิดประเภท จะกลายเป็นหนี้ที่พอกพูน ยกเว้นถ้าเป็นภัยธรรมชาติ เจ้าหนี้ก็เข้าใจ จากนั้นแบ่งสาเหตุของหนี้แล้วจัดการที่ละเหตุ ห้ามจัดการหนี้โดยพอกหนี้อันใหม่เด็ดขาด

คำถามสุดท้ายจากถ้าไม่ปรับเปลี่ยนจะเกิดอะไรขึ้นผู้ทรงวุฒิให้ความเห็นตรงกันว่า ความสามารถในการแข่งขันจะถดถอย รายได้จะลดลง เศรษฐกิจตกต่ำ สุดท้ายต่างชาติอาจเข้าทำสัมปทานในที่ดิน คนไทยอาจต้องไปรับจ้างทำงานบนแผ่นดินไทย

ก่อนปิดเวทีเสวนา คุณสินสมุทร ได้ฝากข้อเสนอถึงภาครัฐให้มองภาพใหญ่ ยกระดับโปรโมทชื่อ ไทยหอมมะลิไรซ์ (Thai Hom Mali Rice)ในไทยและต่างประเทศ สร้างการรับรู้ข้าวหอมมะลิไทยให้โลกรู้จักแทนแจสมินไรซ์ Jasmin rice ชื่อเดิม และมาตรฐานเดิมของหอมมะลิ

ซึ่งปัจจุบันคู่แข่งประเทศผู้ปลูกข้าวใช้ชื่อเดียวกัน ทำให้ผู้บริโภคสับสน ต้องเน้นย้ำไปให้ชาวต่างชาติและคนไทยรู้ว่า หากต้องการทานข้าวหอมมะลิแท้ต้อง Thai Hom Mali Rice ไทยหอมมะลิไรซ์ และมีตรารวงข้าว จากกระทรวงพาณิชย์กำกับ

คุณวุฒิพงษ์ได้ฝากข้อเสนอ ประเด็นสร้างแรงจูงใจให้ข้าราชการมีกำลังใจในการส่งเสริมผู้ประกอบการเกษตรให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ผู้ชมในห้องประชุม ฝากให้เอกชนมีหัวใจธรรมาภิบาล ไม่เอาเปรียบประชาชน เพื่อสังคมมั่นคงยั่งยืนไปด้วยกัน

สื่อมวลชน หอการค้า ทีมแบงค์ชาติอีสาน

ชมคลิปย้อนหลัง https://web.facebook.com/prubon/videos/352122717469545/

Ubon connect อุบลคอนเนก /เรียบเรียง

Related Post