อ่านให้ฟัง จาก สุชัย Ai โดย botnoi
วงเสวนาวันหยุดเขื่อนโลก เปิดปมน้ำท่วม เขื่อนใหม่ และทางออกที่ท้าทายของอุบลราชธานี
ประเด็นสำคัญ:
- น้ำท่วมอุบล: ปัจจัยน้ำท่วมไม่ได้เกิดจากธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการจัดการผังเมืองที่ผิดพลาดและการสร้างเขื่อนที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน้ำ
- เขื่อนใหม่: โครงการเขื่อนใหม่บนแม่น้ำโขง เช่น เขื่อนภูงอย อาจนำไปสู่น้ำท่วมถาวรในบางพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตชุมชน
- ค่าไฟแพง: การสร้างเขื่อนใหม่เชื่อมโยงกับผลประโยชน์ทางการเมืองและกลุ่มทุน ซึ่งอาจไม่ช่วยลดค่าไฟ แต่เพิ่มภาระให้ประชาชน
- การจัดการน้ำท่วม: การจัดการน้ำท่วมในอดีตยังขาดการบูรณาการระหว่างภาครัฐ ชุมชน และนักวิชาการ รวมถึงการแจ้งเตือนที่ไม่แม่นยำ
- ทางออกที่ยั่งยืน: ชาวบ้านเรียกร้องการอยู่ร่วมกับน้ำได้ โดยไม่ต้องย้ายถิ่นฐาน และการพัฒนาระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการใช้เทคโนโลยี เช่น Google Maps และแอปพลิเคชัน
1. สันติชัย อาภรณ์ศรี (ผู้ประสานงาน JustPow):
- เปิดวงเสวนาโดยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของวันหยุดเขื่อนโลก (14 มีนาคม) ซึ่งเป็นโอกาสในการทบทวนผลกระทบจากการพัฒนาเขื่อนทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย
- ระบุว่าเขื่อนใหม่ เช่น เขื่อนภูงอย บนแม่น้ำโขง อาจส่งผลกระทบต่อทิศทางการไหลของน้ำในจังหวัดอุบลราชธานี แม้จะไม่ได้ตั้งอยู่บนแม่น้ำมูลโดยตรง
- เน้นย้ำปัญหาการจัดการน้ำท่วมที่เกิดขึ้นทุกฤดูน้ำหลาก เช่น การตัดสินใจเปิด-ปิดประตูเขื่อนปากมูล ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องหารือทุกปี
- ชี้ว่าเขื่อนใหม่ไม่เพียงแต่เพิ่มความเสี่ยงน้ำท่วม แต่ยังอาจทำให้ค่าไฟสูงขึ้น และตั้งคำถามถึงความจำเป็นของเขื่อนใหม่ในอนาคต
- เสนอให้มีการรวมพลังระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อหาทางออกที่ยั่งยืน และยกตัวอย่างเขื่อนปากมูลและเขื่อนสิรินธรที่สร้างผลกระทบต่อชุมชนโดยยังไม่ได้รับการแก้ไข
2. สุรสม กฤษณะจูฑะ อาจารย์ประจำหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชานวัตกรรมการพัฒนาสังคม คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี :
- อธิบายว่าปัญหาน้ำท่วมในอุบลราชธานีไม่ได้เกิดจากธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงปัจจัยจากมนุษย์ เช่น การจัดการผังเมืองที่ไม่เหมาะสม การถมที่ดิน และการเปลี่ยนแปลงเส้นทางน้ำ
- ชี้ว่าในอดีตน้ำท่วมเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต เช่น การค้าขายในตลาดน้ำ แต่ปัจจุบันกลายเป็นภัยพิบัติที่สร้างความเสียหายหนัก เนื่องจากการจัดการที่ผิดพลาด
- ระบุว่าการเยียวยาหลังน้ำท่วมยังไม่เพียงพอ โดยยกตัวอย่างงานวิจัยที่พบว่า ความเสียหายต่อครัวเรือนจากการท่วมหนึ่งครั้งสูงถึงหลักหมื่นบาท แต่การชดเชยจากภาครัฐกลับอยู่ในระดับหลักพันบาทเท่านั้น
- เสนอว่าเขื่อนใหม่ เช่น เขื่อนภูงอย ต้องมีการเปิดเผยข้อมูลผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ที่ชัดเจนและโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้ และตั้งคำถามถึงความจำเป็นของเขื่อนเมื่อเทียบกับทางเลือกอื่น เช่น พลังงานหมุนเวียน
- เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนมุมมองจาก “การป้องกันน้ำท่วม” เป็น “การอยู่ร่วมกับน้ำ” และให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่ยั่งยืน
3. จารุณี อนุพันธ์ อาจารย์ประจำสาขาภาษาอังกฤษ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี และทีม #Saveubon :
- เล่าประสบการณ์จากการจัดการน้ำท่วมในปี 2562 และ 2565 ซึ่งพบว่าการจัดการขาดความเป็นระบบ ไม่มีการแจ้งเตือนที่แม่นยำ และการคาดการณ์ระดับน้ำผิดพลาด ส่งผลให้ประชาชนเตรียมตัวไม่ทัน
- ระบุว่าในปี 2562 ทีม #Saveubon ใช้ Google Maps ในการปักหมุดจุดน้ำท่วม จุดพักพิง และจุดช่วยเหลือ ซึ่งช่วยลดความสูญเสียได้ แต่ทีมงานมีจำกัดและขาดการสนับสนุนจากภาครัฐ
- เสนอให้มีการพัฒนาระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ เช่น การใช้ SMS แจ้งเตือนภัยพิบัติ และการบูรณาการข้อมูลจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น กรมชลประทาน และกรมทางหลวง เพื่อให้ข้อมูลปักหมุดแม่นยำยิ่งขึ้น
- เน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมจากชุมชนและเยาวชนในการปักหมุดและส่งข้อมูล โดยยกตัวอย่างญี่ปุ่นที่ฝึกเด็กให้มีส่วนร่วมในการรายงานภัยพิบัติ
- แสดงความกังวลต่อโครงการเขื่อนใหม่ เช่น เขื่อนภูงอย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทั้งเมือง ไม่ใช่แค่ชุมชนริมน้ำ และตั้งคำถามถึงการตัดสินใจสร้างเขื่อนโดยที่ประชาชนรู้สึกว่า “เลือกไม่ได้”
- เสนอให้มีการพัฒนาแอปพลิเคชันร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อใช้ในการจัดการน้ำท่วม และให้ข้อมูลที่โปร่งใสก่อนการตัดสินใจสร้างเขื่อน
4. บุญทัน เพ็งธรรม ประธานเครือข่ายอาสาชุมชนป้องกันภัยพิบัติจังหวัดอุบลราชธานี (อชปภ.) :
- ระบุว่าประชาชนยังคงเผชิญความสูญเสียจากน้ำท่วมเหมือนเดิม แม้จะมีการถอดบทเรียนและวางแผนป้องกันทุกครั้ง เนื่องจากขาดการบูรณาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐและชุมชน
- ชี้ว่าการแจ้งเตือนจากหน่วยงานรัฐมักไม่ชัดเจนและล่าช้า ส่งผลให้ประชาชนเตรียมตัวไม่ทัน เช่น ในปี 2565 ที่คาดการณ์ว่าน้ำท่วมจะไม่รุนแรง แต่สุดท้ายน้ำท่วมสูงเกินคาด
- ระบุว่าการเยียวยาหลังน้ำท่วมจากภาครัฐยังล่าช้าและไม่เพียงพอ ทำให้ชาวบ้านต้องแบกรับภาระหนัก เช่น การสูญเสียทรัพย์สินและรายได้
- เสนอว่าชุมชนมีความเข้มแข็งในการเตรียมพร้อมรับน้ำท่วม เช่น การวางแผนและถ่ายทอดความรู้สู่เยาวชน แต่ขาดการสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น การติดตั้งเครื่องสูบน้ำล่วงหน้า
- เรียกร้องให้ภาครัฐพัฒนามาตรการที่ช่วยให้ประชาชน “อยู่ร่วมกับน้ำ” ได้ โดยลดความสูญเสีย แทนที่จะมุ่งเน้นเพียงการป้องกันน้ำท่วมหรือการสร้างเขื่อน
- แสดงความไม่เห็นด้วยกับเขื่อนใหม่ เช่น เขื่อนภูงอย โดยระบุว่าชาวบ้านในวารินชำราบและอุบลราชธานีไม่ต้องการเขื่อนเพิ่มเติม เนื่องจากกลัวผลกระทบต่อวิถีชีวิตและสิ่งแวดล้อม
บทสรุป :
วงเสวนา “คนอุบลเอาบ่? : น้ำท่วม เขื่อนใหม่ ค่าไฟแพง” เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2568 ณ ร้านส่งสาร จ.อุบลราชธานี เน้นย้ำถึงปัญหาการจัดการน้ำท่วมที่ยังไม่ยั่งยืนในจังหวัดอุบลราชธานี และความกังวลต่อโครงการเขื่อนใหม่ เช่น เขื่อนภูงอย บนแม่น้ำโขง ซึ่งอาจนำไปสู่น้ำท่วมถาวรและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมรุนแรง
ผู้ร่วมเสวนาเห็นพ้องว่าปัญหาน้ำท่วมไม่ใช่แค่เรื่องธรรมชาติ แต่เกี่ยวข้องกับการจัดการผังเมือง การเมือง และผลประโยชน์ของกลุ่มทุนที่อาจทำให้ค่าไฟสูงขึ้นโดยไม่จำเป็น ชาวบ้านและนักวิชาการเรียกร้องให้มีการบูรณาการระหว่างภาครัฐ ชุมชน และเยาวชน ในการพัฒนาระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ การใช้เทคโนโลยี เช่น Google Maps และแอปพลิเคชัน รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ที่โปร่งใสก่อนสร้างเขื่อน นอกจากนี้ ยังมีการเสนอให้เปลี่ยนมุมมองจากการป้องกันน้ำท่วมเป็นการอยู่ร่วมกับน้ำอย่างยั่งยืน และให้ความสำคัญกับพลังของคนรุ่นใหม่ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและคุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่น




ภาพ : just pow