จากการพยากรณ์ทั้งมุมวิทยาศาสตร์,โหราศาตร์และภูมิปัญญาฯ
อ่านให้ฟังจาก สุชัย Ai โดย Botnoi
คาดการณ์น้ำท่วมใหญ่ภาคอีสาน ปี 2568: ความเห็นจากนักวิชาการไทยและต่างประเทศ
ประเทศไทยโดยเฉพาะพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) ถูกจับตามองเรื่องความเสี่ยงน้ำท่วมใหญ่ในปี พ.ศ. 2568 นักวิชาการทั้งชาวไทยและต่างประเทศจากหลายสาขาได้วิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดน้ำท่วมในภูมิภาคนี้ ไม่ว่าจะเป็นสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ปรากฏการณ์เอลนีโญ/ลานีญา โครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ รวมถึงการใช้ที่ดินและการขยายตัวของเมือง ด้านล่างนี้คือการรวบรวมความคิดเห็นและการคาดการณ์จากผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขาพร้อมแหล่งข้อมูลอ้างอิงประกอบ
สภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)
นักวิชาการหลายคนชี้ว่าสภาพภูมิอากาศโลกที่เปลี่ยนแปลงกำลังเพิ่มความสุดขั้วของเหตุการณ์น้ำท่วมและภัยแล้งในไทยและทั่วโลก ในช่วงปลายปี 2565 รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ ม.รังสิต ได้คาดการณ์ว่าในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะเผชิญกับสภาพอากาศสุดขั้ว: ภัยแล้งรุนแรงในปี 2568-2569 และอาจเกิดน้ำท่วมใหญ่ประมาณปี 2572-2573 ( ศูนย์การเปลี่ยนแปลงฯ และภัยพิบัติ เตือน! เตรียมรับมือสภาพอากาศสุดขั้วภัยแล้งรุนแรง ปี 68-69 และ น้ำท่วมใหญ่ปี 72-73 | ทันข่าว Today ) สะท้อนให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) อาจทำให้เกิดภัยพิบัติถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายที่ทั่วโลกต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง เพื่อลดความรุนแรงของภัยพิบัติที่จะทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ ตามที่ ศ. อัลเบิร์ต ฟาน ไดค์ (Albert Van Dijk) หัวหน้าทีมนักวิจัยนานาชาติที่จัดทำรายงาน Global Water Monitor 2024 ได้เตือนไว้ว่า เหตุการณ์รุนแรงในปี 2024 จะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย และอันตรายจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในปี 2025 หากการปล่อยคาร์บอนยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (รายงานใหม่เผย Climate Change สร้างหายนะกับวัฏจักรน้ำโลก น้ำท่วม ภัยแล้ง อาจรุนแรงขึ้นใน 2025) โดยฟาน ไดค์อธิบายว่าโลกร้อนขึ้นทำให้วงจรน้ำแปรปรวน: อากาศอุ่นเก็บความชื้นได้มากขึ้นจึงฝนตกหนักขึ้น และมหาสมุทรที่อุ่นขึ้นเพิ่มพลังงานให้พายุรุนแรงขึ้น ส่งผลให้น้ำท่วมและพายุมีความถี่และความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม (รายงานใหม่เผย Climate Change สร้างหายนะกับวัฏจักรน้ำโลก น้ำท่วม ภัยแล้ง อาจรุนแรงขึ้นใน 2025) สิ่งเหล่านี้หมายความว่าภาคอีสานเองก็อาจเจอฝนตกหนักและน้ำท่วมขังบ่อยขึ้นตามแนวโน้มโลก
สำหรับประเทศไทยโดยตรง ดร.รอยบุญ รัศมีเทศ ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) หรือ สสน. (HAII) ได้เผยผลการวิเคราะห์ข้อมูลว่า ปริมาณฝนปี 2568 ของไทยจะมากกว่าปกติราว 9% ซึ่งลักษณะใกล้เคียงกับปี 2542 (อว.เปิดเวที”รู้น้ำ รู้อากาศ ปี 68″เผยแนวโน้มฝน หนุนใช้ระบบข้อมูล-เทคโนโลยีจัดการน้ำ ลดผลกระทบจากภัยพิบัติ – สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.)) ปีที่ประเทศไทยเคยมีฝนชุกมากปีหนึ่ง นักวิชาการผู้นี้ระบุว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศจะมีฝนมากขึ้น ยกเว้นบางส่วนของภาคเหนือ, ด้านตะวันออกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และบางจังหวัดภาคใต้ที่จะมีฝนน้อยกว่าปกติ (อว.เปิดเวที”รู้น้ำ รู้อากาศ ปี 68″เผยแนวโน้มฝน หนุนใช้ระบบข้อมูล-เทคโนโลยีจัดการน้ำ ลดผลกระทบจากภัยพิบัติ – สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.)) โดยคาดการณ์ว่าในช่วงปลายฤดูฝน เดือนตุลาคมถึงธันวาคม 2568 ฝนจะตกหนักกว่าค่าปกติ ซึ่งอาจก่อให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในบางแห่งได้ (อว.เปิดเวที”รู้น้ำ รู้อากาศ ปี 68″เผยแนวโน้มฝน หนุนใช้ระบบข้อมูล-เทคโนโลยีจัดการน้ำ ลดผลกระทบจากภัยพิบัติ – สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.)) แม้การคาดการณ์นี้จะกล่าวโดยรวมถึงทั้งประเทศ แต่ก็เตือนให้ทุกภูมิภาครวมถึงอีสานเตรียมพร้อมรับมือฝนปลายปีที่จะมามากผิดปกติ ขณะเดียวกัน รายงานของ สสน. ยังชี้ว่า อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ในภาคอีสานตอนล่างอาจมีน้ำไม่เพียงพอ ในบางช่วง (อว.เปิดเวที”รู้น้ำ รู้อากาศ ปี 68″เผยแนวโน้มฝน หนุนใช้ระบบข้อมูล-เทคโนโลยีจัดการน้ำ ลดผลกระทบจากภัยพิบัติ – สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.)) สะท้อนความผันผวนที่บางพื้นที่อีสานอาจเผชิญทั้งภาวะแห้งแล้งและฝนหนักในปีเดียวกัน
ทางด้าน อ.สุรสม กฤษณะจูฑะ อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม) ได้ให้ข้อมูลเชิงสถิติท้องถิ่นที่สอดคล้องกับภาพรวมการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศว่า ความถี่ของน้ำท่วมในจังหวัดอุบลราชธานีเพิ่มขึ้น จากเดิมที่เคยเกิดน้ำท่วมใหญ่ทุก 5 ปีครั้ง กลายเป็นทุก 3-4 ปีครั้งในช่วงหลัง (เสวนา “คนอุบลเอาบ่? : น้ำท่วม เขื่อนใหม่ ค่าไฟแพง” ตั้งคำถามกลับ “ถ้าไม่เอา ได้ไหม” – Locals Thai PBS) ซึ่งบ่งชี้ว่าภาวะโลกร้อนอาจทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่บ่อยกว่าเดิม นอกจากนี้ อุบลราชธานียังเป็นจังหวัดที่ถูกจัดว่าเสี่ยงต่อผลกระทบการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศมากที่สุดจังหวัดหนึ่งในประเทศไทยด้านภัยแล้งและความมั่นคงทางอาหารในอนาคต (เสวนา “คนอุบลเอาบ่? : น้ำท่วม เขื่อนใหม่ ค่าไฟแพง” ตั้งคำถามกลับ “ถ้าไม่เอา ได้ไหม” – Locals Thai PBS) อ.สุรสมตั้งคำถามว่าในเมื่อเราทราบแนวโน้มเหล่านี้ล่วงหน้า เหตุใดจึงยังไม่มีความสนใจแก้ปัญหาเท่าที่ควร โดยเน้นว่าการรับมือภัยพิบัติในระยะยาวจำเป็นต้องยกระดับความเข้าใจและความร่วมมืออย่างจริงจังทั้งภาครัฐและประชาชน เพื่อไม่ให้ต้องเผชิญความสูญเสียใหญ่หลวงซ้ำแล้วซ้ำเล่า (เสวนา “คนอุบลเอาบ่? : น้ำท่วม เขื่อนใหม่ ค่าไฟแพง” ตั้งคำถามกลับ “ถ้าไม่เอา ได้ไหม” – Locals Thai PBS) (เสวนา “คนอุบลเอาบ่? : น้ำท่วม เขื่อนใหม่ ค่าไฟแพง” ตั้งคำถามกลับ “ถ้าไม่เอา ได้ไหม” – Locals Thai PBS)
อิทธิพลของปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญา
ปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Niño) และลานีญา (La Niña) เป็นปัจจัยธรรมชาติสำคัญที่กำหนดปริมาณฝนในแต่ละปี นักวิชาการไทยบางคนได้วิเคราะห์ว่าช่วงปี 2567-2568 มีความพิเศษตรงที่อาจเกิดการเปลี่ยนผ่านจากเอลนีโญไปสู่ลานีญาอย่างรวดเร็วในระยะเวลาใกล้เคียงกัน ซึ่งเกิดไม่บ่อยในรอบหลายสิบปี รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ (ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ) อธิบายว่า ปี 2567 มีสัญญาณว่าปรากฏการณ์เอลนีโญที่ทำให้โลกร้อนจัดจะสิ้นสุดลงราวเดือนพฤษภาคม 2567 และจะตามด้วยปรากฏการณ์ลานีญาซึ่งทำให้ไทยมีฝนมากกว่าปกติ (เอลนีโญส่งไม้ต่อลานีญา เฝ้าระวังเดือน ก.ย.-ต.ค. ไทยเสี่ยงน้ำท่วมใหญ่) การที่เอลนีโญสลับกับลานีญาในปีเดียวกันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นน้อย (75 ปีมีเพียง 10 ครั้ง) ดังนั้นช่วงปลายปี 2567 จึงต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ โดย ลานีญาคาดว่าจะทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างเดือนกันยายนถึงธันวาคม 2567 ทำให้ไทยเสี่ยงเกิดน้ำท่วมใหญ่ (เอลนีโญส่งไม้ต่อลานีญา เฝ้าระวังเดือน ก.ย.-ต.ค. ไทยเสี่ยงน้ำท่วมใหญ่) ดร.วิษณุเตือนว่าเกษตรกรและประชาชนควรเตรียมรับมือฝนที่จะมากกว่าปกติ และได้กล่าวเสริมว่า ลานีญาจะถึงจุดสูงสุดช่วงเดือนมกราคม 2568 ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของสำนักอุตุนิยมวิทยาทั่วโลกที่ชี้ว่าเมื่อถึงเดือนมิถุนายน 2567 ปริมาณฝนจะเริ่มสูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติยาวไปจนสิ้นปี (เอลนีโญส่งไม้ต่อลานีญา เฝ้าระวังเดือน ก.ย.-ต.ค. ไทยเสี่ยงน้ำท่วมใหญ่) (เอลนีโญส่งไม้ต่อลานีญา เฝ้าระวังเดือน ก.ย.-ต.ค. ไทยเสี่ยงน้ำท่วมใหญ่) ช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ฝนเพิ่มขึ้น แต่ยังส่งผลให้อุณหภูมิปลายปี 2567 ต่ำกว่าปกติ ปี 2568 ในภาคอีสานอาจหนาวเย็นกว่าที่เคยในช่วงต้นฤดูหนาวเนื่องจากอิทธิพลลานีญาเช่นกัน (เอลนีโญส่งไม้ต่อลานีญา เฝ้าระวังเดือน ก.ย.-ต.ค. ไทยเสี่ยงน้ำท่วมใหญ่) กล่าวคือ ปลายปี 2567 ต่อเนื่องต้นปี 2568 จะเป็นช่วงที่อีสานมีทั้งฝนมากเสี่ยงน้ำท่วมและอากาศเย็นกว่าปกติ อันเป็นผลจากลานีญาที่กำลังแรง
อย่างไรก็ตาม มีมุมมองต่างจากผู้เชี่ยวชาญบางท่านเกี่ยวกับความต่อเนื่องของลานีญาเข้าสู่ปี 2568 เช่น ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา อดีตผู้อำนวยการ GISTDA (นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศ) ได้วิเคราะห์ว่าลานีญาที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายปี 2566 จะอ่อนกำลังลงและ อาจไม่ส่งผลกระทบถึงฤดูฝนปี 2568 มากนัก (คือคาดว่าในปี 2568 สภาพจะกลับสู่ภาวะเป็นกลางหรือเอลนีโญอ่อนๆ) โดยดร.อานนท์แนะนำว่าการเตรียมรับมือน้ำควรเริ่มที่ระดับพื้นที่เป็นสำคัญ และควรปรับปรุงความแม่นยำของการพยากรณ์อากาศซึ่งยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก (อ้างอิงจากบทสัมภาษณ์ผ่าน Ubonconnect, พ.ย. 2567) ความเห็นนี้สอดคล้องกับข้อมูลของ สสน. ที่พบว่าช่วงกลางฤดูฝน 2568 (ราวเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม) อาจเกิดปรากฏการณ์ฝนทิ้งช่วง (อว.เปิดเวที”รู้น้ำ รู้อากาศ ปี 68″เผยแนวโน้มฝน หนุนใช้ระบบข้อมูล-เทคโนโลยีจัดการน้ำ ลดผลกระทบจากภัยพิบัติ – สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.)) ซึ่งเป็นลักษณะมักเกิดในปีเอลนีโญ ส่งผลให้อีสานตอนล่างบางส่วนเผชิญภาวะแห้งแล้งสั้นๆ ก่อนที่ฝนปลายปีจะกลับมาหนักอีกครั้ง
ปัจจัยเอลนีโญ/ลานีญายังเกี่ยวพันกับพายุหมุนเขตร้อนที่เข้ามาประเทศไทยในแต่ละปีด้วย ผศ.ดร.ฤกษ์ชัย ศรีวรมาศ อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.อุบลราชธานี (ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมทรัพยากรน้ำ) ชี้ว่า ความไม่แน่นอนของธรรมชาติสูงมากในช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างเอลนีโญไปลานีญา ทำให้การคาดการณ์ปริมาณฝนเป็นไปได้ยาก (นักวิชาการชี้ ความรู้ภัยพิบัติชุมชน กุญแจไขปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืน) แต่สำหรับพื้นที่อีสานแล้ว ปัจจัยชี้ขาดน้ำท่วมใหญ่มักอยู่ที่พายุหรือดีเปรสชันเขตร้อนในช่วงฤดูมรสุม หากมีพายุเข้าภาคอีสานช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม ก็มีโอกาสเกิดน้ำท่วมหนักในลุ่มน้ำมูล-ชีได้ แต่ถ้ามีเพียงร่องมรสุมตามปกติโดยไม่มีพายุใหญ่ ก็อาจไม่ถึงขั้นเกิด “น้ำท่วมใหญ่” (นักวิชาการชี้ ความรู้ภัยพิบัติชุมชน กุญแจไขปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืน – Locals Thai PBS) กล่าวคือ ปีใดที่เอลนีโญอ่อนกำลังและลานีญามาเร็วจนก่อให้เกิดพายุลูกใหญ่เข้าภาคอีสาน ปีนั้นความเสี่ยงน้ำท่วมใหญ่จะสูงมาก นักวิชาการด้านอุตุนิยมวิทยาและทรัพยากรน้ำจึงเน้นย้ำการเฝ้าระวังสภาพอากาศช่วงปลายฤดูฝนของทุกปี โดยเฉพาะปี 2568 ที่สภาวะภูมิอากาศกำลังแปรปรวนเป็นพิเศษ
โครงสร้างพื้นฐานและการจัดการน้ำ (Infrastructure & Water Management)
ปัญหาโครงสร้างพื้นฐานและวิธีการจัดการน้ำเป็นอีกปัจจัยที่นักวิชาการชี้ว่าอาจทำให้น้ำท่วมรุนแรงขึ้น หรือในบางกรณีก็ก่อให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ที่ไม่เคยท่วมมาก่อน ผศ.ดร.ฤกษ์ชัย ศรีวรมาศ (ม.อุบลราชธานี) ได้วิเคราะห์บทเรียนจากน้ำท่วมอุบลราชธานีที่ผ่านมา พบว่ามี ปัจจัยมนุษย์ที่ทำให้น้ำท่วมใหญ่รุนแรงขึ้น ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศและสิ่งปลูกสร้าง เช่น การสร้างเขื่อนหรือถนนที่ไม่คำนึงถึงทางระบายน้ำ ซึ่งทำให้การไหลของน้ำไม่สะดวกและบริหารจัดการได้ยากขึ้น (นักวิชาการชี้ ความรู้ภัยพิบัติชุมชน กุญแจไขปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืน – Locals Thai PBS) อีกทั้ง การบริหารจัดการน้ำ แม้จะพัฒนาดีขึ้นในระยะหลัง แต่ยังมีความท้าทายในการเพิ่มประสิทธิภาพให้รองรับสถานการณ์สุดขั้วได้ดียิ่งขึ้น (นักวิชาการชี้ ความรู้ภัยพิบัติชุมชน กุญแจไขปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืน – Locals Thai PBS) กรณีอุบลราชธานีในอดีต น้ำจำนวนมากจากตอนเหนือ (เช่นจังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ ขอนแก่น) ไหลลงสู่ลุ่มน้ำมูล หากโครงสร้างพื้นฐานการผันน้ำไม่เพียงพอ น้ำปริมาณมหาศาลก็จะหลากลงสู่อุบลฯ จนท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำตามสองฝั่งแม่น้ำ (นักวิชาการชี้ ความรู้ภัยพิบัติชุมชน กุญแจไขปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืน – Locals Thai PBS) ดังเช่นที่เกิดขึ้นในน้ำท่วมปี 2562 ซึ่งมีพื้นที่ปลูกข้าวเสียหายหลายหมื่นไร่ตามแนวลุ่มน้ำ (เสวนา “คนอุบลเอาบ่? : น้ำท่วม เขื่อนใหม่ ค่าไฟแพง” ตั้งคำถามกลับ “ถ้าไม่เอา ได้ไหม” – Locals Thai PBS) นักวิชาการด้านวิศวกรรมจึงเสนอว่าไทยควรเร่งลงทุนปรับปรุงระบบระบายน้ำและเขื่อนเก็บกักต่างๆ ให้คำนึงถึงเหตุสุดวิสัยมากขึ้น รวมถึงใช้เทคโนโลยีข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์มาช่วยพยากรณ์สถานการณ์ล่วงหน้า ซึ่งทาง สสน. ก็ได้เริ่มดำเนินการแล้วในการนำ AI มาประมวลผลคาดการณ์น้ำท่วมและภัยแล้งเพื่อเพิ่มความแม่นยำ (สสน. เตือนปี 68 เหนือ-ใต้น้ำท่วมอีก คาดปริมาณฝนเพิ่มร้อยละ 9) (สสน. เตือนปี 68 เหนือ-ใต้น้ำท่วมอีก คาดปริมาณฝนเพิ่มร้อยละ 9) และเตือนประชาชนให้ทันเหตุการณ์
สำหรับภาคอีสานตอนล่างที่อยู่ติดแม่น้ำโขง ปัจจัยเรื่อง เขื่อนและการจัดการแม่น้ำระหว่างประเทศ ก็มีความสำคัญมาก นักวิชาการและนักกิจกรรมท้องถิ่นได้แสดงความกังวลว่าโครงการเขื่อนใหม่ๆ อาจส่งผลกระทบให้น้ำท่วมพื้นที่อีสานเพิ่มขึ้น อ.สุรสม กฤษณะจูฑะ (ม.อุบลราชธานี) กล่าวในเวทีเสวนา “คนอุบลเอาบ่? : น้ำท่วม เขื่อนใหม่ ค่าไฟแพง” (มี.ค. 2568) ว่า กำลังมีโครงการสร้างเขื่อนภูงอยในประเทศลาวใกล้กับชายแดนอุบลราชธานี ซึ่งหากสร้างขึ้น น้ำอาจล้นจากเขื่อนเข้าสู่จังหวัดอุบลฯ ได้ โดยยังไม่แน่ชัดว่าจะท่วมวงกว้างเพียงใด นักวิชาการจึงเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและวิศวกรที่ดูแลโครงการมาอธิบายให้ชาวบ้านเข้าใจถึงความเสี่ยงนี้อย่างโปร่งใส (เสวนา “คนอุบลเอาบ่? : น้ำท่วม เขื่อนใหม่ ค่าไฟแพง” ตั้งคำถามกลับ “ถ้าไม่เอา ได้ไหม” – Locals Thai PBS) ทั้งนี้ ในอดีตเคยมีโครงการเขื่อนบ้านกุ่มที่จะสร้างบนแม่น้ำโขงเช่นกัน แต่ต้องล้มเลิกไปเพราะผลการศึกษาพบว่าจะทำให้เกิดน้ำท่วมพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวสามพันโบก (แกรนด์แคนยอนน้ำโขง) ซึ่งเป็นแหล่งธรรมชาติสำคัญ (เสวนา “คนอุบลเอาบ่? : น้ำท่วม เขื่อนใหม่ ค่าไฟแพง” ตั้งคำถามกลับ “ถ้าไม่เอา ได้ไหม” – Locals Thai PBS) กรณีนี้แสดงให้เห็นว่าการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคมของโครงการน้ำขนาดใหญ่เป็นเรื่องจำเป็น อ.สุรสมเสนอว่าภาครัฐควร เปิดเผยข้อมูลการศึกษาผลกระทบต่างๆ ให้สาธารณชนรับรู้อย่างรอบด้าน และให้ชุมชนมีเสียงในการตัดสินใจ เพราะท้ายที่สุดคนท้องถิ่นคือผู้ที่ต้องเผชิญความเสี่ยงหากเกิดน้ำท่วมจากโครงสร้างเหล่านี้ (เสวนา “คนอุบลเอาบ่? : น้ำท่วม เขื่อนใหม่ ค่าไฟแพง” ตั้งคำถามกลับ “ถ้าไม่เอา ได้ไหม” – Locals Thai PBS)
ด้านการจัดการเชิงนโยบาย ในปี 2567 ที่ผ่านมา จังหวัดอุบลราชธานีไม่ได้ประสบอุทกภัยใหญ่เหมือนหลายปีก่อนหน้า ส่วนหนึ่งเพราะรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมมาตรการเชิงรุก เช่น นายกรัฐมนตรีขณะนั้น (นายเศรษฐา ทวีสิน) ได้กำหนดนโยบายว่า “น้ำต้องไม่ท่วมอุบลฯ” ทำให้หน่วยงานต่างๆ เช่น กรมชลประทาน เร่งมือร่วมกันติดตั้งคันกั้นน้ำชั่วคราว ป้องกันไม่ให้น้ำไหลเข้าช่วงจุดอ่อนแนวพนัง และบริหารน้ำข้ามลุ่มน้ำร่วมกันในระดับภูมิภาค (เสวนา “คนอุบลเอาบ่? : น้ำท่วม เขื่อนใหม่ ค่าไฟแพง” ตั้งคำถามกลับ “ถ้าไม่เอา ได้ไหม” – Locals Thai PBS) มาตรการเหล่านี้ช่วยให้อุบลฯ รอดพ้นน้ำท่วมในปี 2567 ได้ แต่ก็นำไปสู่ข้อสังเกตว่า การกั้นน้ำไว้ไม่ให้ท่วมอุบลฯ อาจทำให้จังหวัดอื่นท่วมแทนหรือไม่ เพราะน้ำถูกหน่วงไว้มิให้เข้าพื้นที่ ทำให้น้ำส่วนเกินอาจไปท่วมขังพื้นที่เหนือหรือท้ายน้ำมากขึ้น (เสวนา “คนอุบลเอาบ่? : น้ำท่วม เขื่อนใหม่ ค่าไฟแพง” ตั้งคำถามกลับ “ถ้าไม่เอา ได้ไหม” – Locals Thai PBS) (เสวนา “คนอุบลเอาบ่? : น้ำท่วม เขื่อนใหม่ ค่าไฟแพง” ตั้งคำถามกลับ “ถ้าไม่เอา ได้ไหม” – Locals Thai PBS) นี่จึงเป็นโจทย์ว่าการแก้ปัญหาน้ำท่วมจำเป็นต้องคิดแบบบูรณาการทั้งลุ่มน้ำ ไม่ใช่แก้จุดหนึ่งแล้วไปสร้างปัญหาอีกจุดหนึ่ง นักวิชาการเสนอว่าควรมี “แผนแม่บทการจัดการน้ำ” ระดับจังหวัดและภาค ที่สอดคล้องกับแผนระดับประเทศ เพื่อให้ทุกพื้นที่ทำงานประสานกันตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ (นักวิชาการชี้ ความรู้ภัยพิบัติชุมชน กุญแจไขปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืน – Locals Thai PBS) รวมถึงให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมวางแผนรับมือน้ำ เช่น การสร้างเครือข่ายเตือนภัยและองค์ความรู้ด้านน้ำในชุมชน เพื่อเสริมความยืดหยุ่นและการปรับตัวเมื่อเกิดภัยพิบัติ (อว.เปิดเวที”รู้น้ำ รู้อากาศ ปี 68″เผยแนวโน้มฝน หนุนใช้ระบบข้อมูล-เทคโนโลยีจัดการน้ำ ลดผลกระทบจากภัยพิบัติ – สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.))
นอกจากนี้ การจัดสรรงบประมาณก็เป็นปัจจัยหนึ่งในการรับมืออุทกภัย ข้อมูลจาก Rocket Media Lab ที่นำเสนอในเวทีเสวนาดังกล่าวระบุว่า จังหวัดอุบลราชธานีได้รับงบประมาณด้านการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมปี 2566 สูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศ จำนวนถึง 1,937 ล้านบาท (เสวนา “คนอุบลเอาบ่? : น้ำท่วม เขื่อนใหม่ ค่าไฟแพง” ตั้งคำถามกลับ “ถ้าไม่เอา ได้ไหม” – Locals Thai PBS) แสดงให้เห็นว่าภาครัฐตระหนักถึงความเสี่ยงในพื้นที่นี้พอสมควร แต่ผู้เชี่ยวชาญก็เตือนว่าเม็ดเงินเหล่านี้ควรถูกใช้ไปกับโครงการที่แก้ปัญหาระยะยาว ไม่ใช่แค่แก้ไขเฉพาะหน้าและจ่ายชดเชยความเสียหายหลังน้ำลดเท่านั้น เพราะการเยียวยาไม่อาจทดแทนรายได้และทรัพย์สินที่สูญเสียไปได้ทั้งหมด (เสวนา “คนอุบลเอาบ่? : น้ำท่วม เขื่อนใหม่ ค่าไฟแพง” ตั้งคำถามกลับ “ถ้าไม่เอา ได้ไหม” – Locals Thai PBS) (เสวนา “คนอุบลเอาบ่? : น้ำท่วม เขื่อนใหม่ ค่าไฟแพง” ตั้งคำถามกลับ “ถ้าไม่เอา ได้ไหม” – Locals Thai PBS) ดังนั้นสิ่งที่ทุกภาคส่วนผลักดันคือการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและระบบบริหารจัดการน้ำที่ยั่งยืน ลดความเปราะบางของชุมชนต่อภัยพิบัติในอนาคต
การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินและการพัฒนาเมือง
ภาคอีสานมีการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการขยายพื้นที่เกษตร การตัดไม้ทำลายป่า และการขยายตัวของเขตเมือง ปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีส่วนทำให้ความรุนแรงของน้ำท่วมเพิ่มขึ้น ดร.ฤกษ์ชัย ศรีวรมาศ ได้ยกตัวอย่างว่า หากฝนตกหนักในพื้นที่ตอนบนใกล้กับอุบลฯ เช่น จังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ หรือขอนแก่น น้ำฝนจะไหลลงสู่อุบลราชธานีเร็วขึ้นและมากขึ้น จนอาจทำให้น้ำท่วมหนักได้ (นักวิชาการชี้ ความรู้ภัยพิบัติชุมชน กุญแจไขปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืน – Locals Thai PBS) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพื้นที่ลุ่มน้ำบางส่วนถูกเปลี่ยนสภาพ เช่น การสร้างชุมชนหรือสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำทางน้ำเดิม การถางป่าในพื้นที่สูงทำให้น้ำไหลบ่าลงที่ต่ำอย่างรวดเร็ว ขาดการซับน้ำตามธรรมชาติ อีกทั้งการพัฒนาเมืองที่ปูพื้นผิวด้วยคอนกรีตยางมะตอยมากขึ้น ทำให้ดินดูดซับน้ำได้น้อย น้ำฝนจำนวนมากจึงกลายเป็นน้ำไหลผิวดินที่ท่วมขังตามชุมชนเมืองอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก
แม้ในข้อมูลที่รวบรวมมาจะไม่มีการกล่าวถึงนักวิชาการเฉพาะด้านภูมิศาสตร์เมืองหรือผังเมือง แต่หลักการทั่วไปจากงานวิจัยต่างๆ ระบุว่า การสูญเสียพื้นที่รับน้ำตามธรรมชาติ (เช่น ป่าต้นน้ำ พื้นที่ชุ่มน้ำ และทางน้ำหลาก) มีผลโดยตรงต่อความรุนแรงของอุทกภัยในลุ่มน้ำชี-มูล ปัจจุบันนักวางผังเมืองและวิศวกรสิ่งแวดล้อมเสนอให้มีการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำและฟื้นฟูทางน้ำธรรมชาติในภาคอีสาน เช่น การรักษาพื้นที่แก้มลิงตามริมแม่น้ำมูลและชี ไว้เป็นจุดพักน้ำยามน้ำหลาก เพื่อลดปริมาณน้ำที่ไหลผ่านตัวเมืองใหญ่ๆ นอกจากนี้ ควรสร้างระบบระบายน้ำในเขตเมืองให้สอดรับกับปริมาณฝนที่มากขึ้น เช่น เพิ่มคลองระบายน้ำและประตูระบายน้ำรอบเมืองที่เคยน้ำท่วมบ่อย (อาทิ จ.ขอนแก่น อุดรธานี) ตลอดจนจัดโซนพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมไว้สำหรับทำการเกษตรหรือสวนสาธารณะมากกว่าสร้างที่อยู่อาศัยหรือโรงงาน ลดความเสียหายเมื่อเกิดน้ำท่วมกะทันหัน
แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับบทวิเคราะห์ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ที่ระบุว่า ไทยจำเป็นต้องปฏิรูประบบจัดการภัยพิบัติ ซึ่งปัจจุบันยังเป็นระบบรวมศูนย์และขาดการบูรณาการข้อมูลพื้นฐาน เช่น ข้อมูลภูมิประเทศและการใช้ที่ดิน สำหรับแบบจำลองทำนายพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม (Our broken system fuels flood crisis – TDRI: Thailand Development Research Institute) (Our broken system fuels flood crisis – TDRI: Thailand Development Research Institute) การปรับปรุงข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้การพยากรณ์น้ำท่วมแม่นยำขึ้น (ปัจจุบันความแม่นยำการคาดการณ์น้ำล่วงหน้า 1 วันมีเพียง 33% (Our broken system fuels flood crisis – TDRI: Thailand Development Research Institute)) ทำให้สามารถเตือนประชาชนได้ทันท่วงทีและวางแผนใช้ที่ดินอย่างเหมาะสม ลดความสูญเสียเมื่อเกิดอุทกภัย
บทสรุป
จากความคิดเห็นของนักวิชาการข้างต้น จะเห็นได้ว่า น้ำท่วมใหญ่ในภาคอีสานปี 2568 เป็นความเสี่ยงที่เกิดจากหลายปัจจัยทั้งธรรมชาติและมนุษย์ นักอุตุนิยมวิทยาและนักวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศชี้ว่าแนวโน้มสภาพอากาศโลกที่ร้อนขึ้นและปรากฏการณ์ลานีญาที่อาจแผลงฤทธิ์ จะนำมาซึ่งฝนตกหนักผิดปกติซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันในบางพื้นที่ของอีสานตอนปลายปี (อว.เปิดเวที”รู้น้ำ รู้อากาศ ปี 68″เผยแนวโน้มฝน หนุนใช้ระบบข้อมูล-เทคโนโลยีจัดการน้ำ ลดผลกระทบจากภัยพิบัติ – สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.)) (เอลนีโญส่งไม้ต่อลานีญา เฝ้าระวังเดือน ก.ย.-ต.ค. ไทยเสี่ยงน้ำท่วมใหญ่) ขณะเดียวกันวิศวกรและนักวางแผนทรัพยากรน้ำเตือนว่าจุดอ่อนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การบริหารจัดการเขื่อน และการใช้ที่ดินที่ไม่เหมาะสม สามารถซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายขึ้นได้หากเกิดฝนหนักหรือพายุใหญ่ (นักวิชาการชี้ ความรู้ภัยพิบัติชุมชน กุญแจไขปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืน – Locals Thai PBS) (เสวนา “คนอุบลเอาบ่? : น้ำท่วม เขื่อนใหม่ ค่าไฟแพง” ตั้งคำถามกลับ “ถ้าไม่เอา ได้ไหม” – Locals Thai PBS)
รายชื่อนักวิชาการที่ได้วิเคราะห์หรือคาดการณ์สถานการณ์น้ำท่วมปี 2568 ในภาคอีสาน ที่กล่าวถึงมีหลากหลายสาขา ได้แก่ นักวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศอย่าง รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ( ศูนย์การเปลี่ยนแปลงฯ และภัยพิบัติ เตือน! เตรียมรับมือสภาพอากาศสุดขั้วภัยแล้งรุนแรง ปี 68-69 และ น้ำท่วมใหญ่ปี 72-73 | ทันข่าว Today ) และ ศ. Albert Van Dijk (รายงานใหม่เผย Climate Change สร้างหายนะกับวัฏจักรน้ำโลก น้ำท่วม ภัยแล้ง อาจรุนแรงขึ้นใน 2025) ที่ชี้แนวโน้มภัยพิบัติรุนแรงขึ้นจาก Climate Change, นักอุตุนิยมวิทยา/เศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมอย่าง รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช ที่อธิบายอิทธิพลของเอลนีโญ/ลานีญาต่อฝนปี 2568 (เอลนีโญส่งไม้ต่อลานีญา เฝ้าระวังเดือน ก.ย.-ต.ค. ไทยเสี่ยงน้ำท่วมใหญ่), นักวิศวกรรมทรัพยากรน้ำอย่าง ผศ.ดร.ฤกษ์ชัย ศรีวรมาศ ที่วิเคราะห์เงื่อนไขการเกิดน้ำท่วมใหญ่ในลุ่มน้ำมูล-ชี (นักวิชาการชี้ ความรู้ภัยพิบัติชุมชน กุญแจไขปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืน – Locals Thai PBS), นักวิชาการด้านการพัฒนาสังคม/ภูมิภาคอย่าง อ.สุรสม กฤษณะจูฑะ ที่ชี้ปัญหาเชิงนโยบายและโครงสร้างในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมอย่างอุบลราชธานี (เสวนา “คนอุบลเอาบ่? : น้ำท่วม เขื่อนใหม่ ค่าไฟแพง” ตั้งคำถามกลับ “ถ้าไม่เอา ได้ไหม” – Locals Thai PBS) (เสวนา “คนอุบลเอาบ่? : น้ำท่วม เขื่อนใหม่ ค่าไฟแพง” ตั้งคำถามกลับ “ถ้าไม่เอา ได้ไหม” – Locals Thai PBS) ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานวิจัยด้านน้ำของไทยอย่าง ดร.รอยบุญ รัศมีเทศ จาก สสน. ที่ให้ข้อมูลเชิงสถิติการคาดการณ์ปริมาณฝนทั่วประเทศ (อว.เปิดเวที”รู้น้ำ รู้อากาศ ปี 68″เผยแนวโน้มฝน หนุนใช้ระบบข้อมูล-เทคโนโลยีจัดการน้ำ ลดผลกระทบจากภัยพิบัติ – สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.))
แม้นักวิชาการบางท่านจะมองว่าปี 2568 อาจไม่ถึงขั้นเกิดน้ำท่วมใหญ่อย่างรุนแรงที่สุด (โดยบางพื้นที่อีสานอาจเผชิญภัยแล้งด้วยซ้ำในช่วงกลางปี (อว.เปิดเวที”รู้น้ำ รู้อากาศ ปี 68″เผยแนวโน้มฝน หนุนใช้ระบบข้อมูล-เทคโนโลยีจัดการน้ำ ลดผลกระทบจากภัยพิบัติ – สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.))) แต่ ทุกความเห็นล้วนสรุปตรงกันว่าเราต้องไม่ประมาทและเตรียมพร้อมรับมือ ไม่ว่าจะเป็นการเฝ้าระวังสภาพอากาศ, การจัดทำแผนป้องกันน้ำท่วมในระดับชุมชนและเมือง, การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน, และการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ อย่างมีเอกภาพ หากดำเนินการตามข้อเสนอแนะของนักวิชาการเหล่านี้ เราจะสามารถลดผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่ในภาคอีสานหรือพื้นที่อื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน (สสน. เตือนปี 68 เหนือ-ใต้น้ำท่วมอีก คาดปริมาณฝนเพิ่มร้อยละ 9) (อว.เปิดเวที”รู้น้ำ รู้อากาศ ปี 68″เผยแนวโน้มฝน หนุนใช้ระบบข้อมูล-เทคโนโลยีจัดการน้ำ ลดผลกระทบจากภัยพิบัติ – สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.)).
แหล่งที่มาของข้อมูล: ข่าวและบทสัมภาษณ์จากสื่อออนไลน์และหน่วยงานวิจัย เช่น ไทยรัฐออนไลน์ (เอลนีโญส่งไม้ต่อลานีญา เฝ้าระวังเดือน ก.ย.-ต.ค. ไทยเสี่ยงน้ำท่วมใหญ่), The MATTER (รายงานใหม่เผย Climate Change สร้างหายนะกับวัฏจักรน้ำโลก น้ำท่วม ภัยแล้ง อาจรุนแรงขึ้นใน 2025), ทันข่าว Today ( ศูนย์การเปลี่ยนแปลงฯ และภัยพิบัติ เตือน! เตรียมรับมือสภาพอากาศสุดขั้วภัยแล้งรุนแรง ปี 68-69 และ น้ำท่วมใหญ่ปี 72-73 | ทันข่าว Today ), Amarin TV (สสน. เตือนปี 68 เหนือ-ใต้น้ำท่วมอีก คาดปริมาณฝนเพิ่มร้อยละ 9), Thai PBS (Local News) (นักวิชาการชี้ ความรู้ภัยพิบัติชุมชน กุญแจไขปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืน – Locals Thai PBS) (เสวนา “คนอุบลเอาบ่? : น้ำท่วม เขื่อนใหม่ ค่าไฟแพง” ตั้งคำถามกลับ “ถ้าไม่เอา ได้ไหม” – Locals Thai PBS) และรายงานของสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (อว.เปิดเวที”รู้น้ำ รู้อากาศ ปี 68″เผยแนวโน้มฝน หนุนใช้ระบบข้อมูล-เทคโนโลยีจัดการน้ำ ลดผลกระทบจากภัยพิบัติ – สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.)) เป็นต้น ซึ่งได้รวบรวมความเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศ น้ำ และสิ่งแวดล้อมไว้อย่างครบถ้วน.
คำทำนายจากโหราศาสตร์ไทย
หลายหมอดูชื่อดังได้ออกมาเตือนถึงเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2568 โดยเฉพาะในภูมิภาคอีสานของไทย ตามแนวโหราศาสตร์และดวงเมือง:
- หมอปลาย พรายกระซิบ (ณวรชา พินิจโรคากร): หมอดูคนนี้ทำนายชัดเจนว่าในปี 2568 ประเทศไทยจะเผชิญกับภัยพิบัติครั้งหนัก “น้ำท่วมใหญ่เทียบเท่าปี 2554” ที่เคยเกิดอุทกภัยรุนแรงมาแล้ว (หมอปลายเตือน น้ำท่วมใหญ่ปี 68 เสี่ยงเจอโศกนาฏกรรมหมู่). นอกจากน้ำท่วมมหาศาล ยังเตือนถึงดินถล่ม บ้านเรือนเสียหาย ไฟไหม้ และอุบัติภัยอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ ซึ่งสอดคล้องกับที่หลายฝ่ายกังวลว่าอาจเกิดน้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่ภาคเหนือจรดอีสานอีกครั้ง
- โหรฟองสนาน จามรจันทร์: โหราจารย์ฟองสนาน (เจ้าของนามปากกา “แม่หมอสมัครเล่น”) ได้ทำนายดวงเมืองไว้ว่า ปี 2567 เป็นแค่ “การซ้อมย่อย” แต่ปี 2568 จะเป็นการซ้อมใหญ่ สำหรับเหตุการณ์ภัยพิบัติต่าง ๆ (ช่อง8 – ย้อนฟังคำนายสุดแม่น !!! “โหรฟองสนาน” ดวงเมืองบ่งบอกชัดเจน ปี …). ตามหลักโหราศาสตร์ ดาวมฤตยู (ดาวแห่งภัยอาเพศ) โคจรในตำแหน่งสำคัญ ส่งสัญญาณว่าจะมีเหตุวิปริตมากขึ้น. แม้ไม่ได้ระบุคำว่า “น้ำท่วม” โดยตรง แต่การที่ท่านเตือนถึงภัยพิบัติรุนแรงกว่าปีก่อน บ่งชี้ว่าปี 2568 มีแนวโน้มจะเกิดอุทกภัยวงกว้างหรือเหตุการณ์น้ำมากผิดปกติในหลายพื้นที่ รวมถึงภาคอีสานด้วย
- หมอดูชื่อดังอื่น ๆ: นอกจากสองท่านข้างต้น ยังมีหมอดูและโหราจารย์หลายคนที่ออกมาพยากรณ์ทิศทางคล้ายกัน. ในช่วงส่งท้ายปี 2567 อาจารย์ลักษณ์ เรขานิเทศ (โหรลักษณ์ ฟันธง) ได้แสดงความกังวลเรื่องดวงเมืองปี 2568 ว่าอาจมีภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ โดยเฉพาะน้ำท่วมใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายควรเตรียมรับมือ (ช่อง8 – ย้อนฟังคำนายสุดแม่น !!! “โหรฟองสนาน” ดวงเมืองบ่งบอกชัดเจน ปี …). ขณะเดียวกัน มีการย้อนถึงคำเตือนของเกจิอาจารย์บางท่าน (เช่น หลวงปู่ศิลา) ที่เคยพูดทำนายไว้เกี่ยวกับน้ำหลากครั้งใหญ่ที่จะเกิดในช่วงปีนี้เช่นกัน
น่าสังเกตว่าการพยากรณ์จากสายโหราศาสตร์เหล่านี้มีน้ำเสียงสอดคล้องกัน คือเตือนให้ระวังมวลน้ำก้อนใหญ่และภัยพิบัติจากฝนฟ้าผิดฤดูในปี 2568 อย่างจริงจัง. สื่อบางแห่งถึงกับสรุป**“เสียงจากนักพยากรณ์”** ว่า ปี 2568 ไทยอาจจะไม่รอดพ้นน้ำท่วมเสียหาย คล้ายบทเรียนซ้ำรอยอดีต (ถอดบทเรียนภัยพิบัติซ้ำซาก ปัญหาเดิม เสียงเตือนปี2568 มาอีกแน่…ป้องกันดีกว่าเยียวยาไหม!! – ThaiPublica) โดยมีการเปรียบเทียบว่าปริมาณฝนปีนี้อาจมากพอ ๆ กับปี 2554 เลยทีเดียว (ถอดบทเรียนภัยพิบัติซ้ำซาก ปัญหาเดิม เสียงเตือนปี2568 มาอีกแน่…ป้องกันดีกว่าเยียวยาไหม!! – ThaiPublica)
ภูมิปัญญาชาวบ้านและคำทำนายโบราณ
นอกจากหมอดูตามตำราโหราศาสตร์แล้ว ชาวบ้านในภาคอีสานจำนวนมากยังมีวิธีสังเกตธรรมชาติและภูมิปัญญาท้องถิ่นในการทำนายดินฟ้าอากาศ ซึ่งปีนี้หลายคนก็เชื่อว่าจะเกิดน้ำมากจนเสี่ยงน้ำท่วม:
- คำกล่าวโบราณ: คนเฒ่าคนแก่ถ่ายทอดคำพยากรณ์รุ่นต่อรุ่นว่า “ปีไหนหนาวมากหนาวนาน ปีนั้นฝนจะตกดี (น้ำจะมาก)” – หมายความว่าหากหน้าหนาวปีใดอากาศเย็นจัดและยาวนาน ผืนนาจะมีน้ำฝนชุ่มฉ่ำในปีถัดไป (คนโบราณท่านกล่าวไว้ ปีไหนหนาวมากหนาวนาน ปีนั้นฝนจะตกดี ปีนี้บ้านเรา …). ในช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมา (ปลายปี 2567 ต่อ 2568) ภาคอีสานประสบกับอากาศที่หนาวเย็นกว่าปกติและยืดเยื้อจนถึงต้นปี ทำให้ชาวบ้านหลายพื้นที่เชื่อว่าฝนปี 2568 จะมาเยอะเป็นพิเศษตามคำโบราณนี้ ซึ่งอาจหมายถึงความเสี่ยงน้ำท่วมในช่วงฤดูฝนที่จะถึง
- พฤกษาพยากรณ์ (ทำนายจากต้นไม้): ภูมิปัญญาอีกอย่างของชาวอีสานคือการสังเกตสัญญาณจากพืชพรรณธรรมชาติ อ.นพพร นนทภา มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ระบุชัดว่าปีนี้ประเทศไทย (โดยเฉพาะภาคอีสาน) จะมีฝนมาเร็วและมากเป็นพิเศษจึงเสี่ยงเกิดน้ำหลากน้ำท่วมใหญ่ในหลายพื้นที่ทั้งนี้ยังจะมีช่วงฝนขาดช่วงกลางฤดูที่ต้องเฝ้าระวังด้วยอาจารย์ได้ฝากเตือนให้ทุกภาคส่วนเตรียมการรับมือน้ำท่วมไว้แต่เนิ่นๆและใช้โอกาสฝนต้นฤดูในการเก็บน้ำและปลูกป่าเพื่อบรรเทาภัยแล้งที่จะตามมา (Torlarp Kamyo – ต้นไม้เค้ารู้ก่อนนะ นี้ละธรรมชาติ… | Facebook) (นพพร นนทภา ผู้ถอดรหัสพยากรณ์ฝนจากต้นไม้ได้สำเร็จ พร้อมคำทำนายน้ำท่วมฝนแล้ง พ.ศ. 2566)
- สังเกตปรากฏการณ์หนาวเย็นผิดปกติ ยาวมาถึงเดือนเมษายน : ชาวบ้านยังเล่าว่าอากาศหนาวเย็นยาวนานในต้นปีนี้อาจเกี่ยวโยงกับปรากฏการณ์ฝนที่จะมากตามมา. นักวิชาการเองก็ชี้ว่าปี 2568 อยู่ในช่วงอิทธิพลลานีญาที่แม้จะเป็นกลาง ๆ แต่ส่งผลให้ฝนตกชุกและหน้าหนาวเย็นยาวกว่าธรรมดา (ถอดบทเรียนภัยพิบัติซ้ำซาก ปัญหาเดิม เสียงเตือนปี2568 มาอีกแน่…ป้องกันดีกว่าเยียวยาไหม!! – ThaiPublica). ข้อมูลนี้สอดพ้องกับความเชื่อพื้นบ้าน ทำให้หลายคนในภาคอีสานยิ่งมั่นใจว่าปีนี้น้ำจะมาเยอะจนน่าเป็นห่วง. มีรายงานข่าวท้องถิ่นบางแห่งที่เตือนว่า ช่วงกลางปี 2568 ให้เตรียมรับมือน้ำหลาก แม้หน่วยงานรัฐจะประเมินว่าความเสี่ยงน้ำท่วมใหญ่เต็มรูปแบบมีไม่มากนัก แต่ชาวบ้านก็ไม่ประมาทและเฝ้าระวังพื้นที่ลุ่มต่ำตามคำบอกเล่าของคนสมัยก่อน
โดยสรุป ทั้งคำทำนายจากโหรดังและภูมิปัญญาท้องถิ่นต่างชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า ภาคอีสานปี 2568 มีแนวโน้มเผชิญกับน้ำท่วมใหญ่หรือปริมาณฝนที่มากผิดปกติ. คำพยากรณ์เหล่านี้ถูกเผยแพร่ผ่านสื่อออนไลน์และเพจต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนเตรียมตัวแต่เนิ่น ๆ – ไม่ว่าจะเป็นคำเตือนของหมอดูชื่อดังบนรายการโทรทัศน์ หรือโพสต์บนเฟซบุ๊กที่อ้างคำกล่าวคนเฒ่าคนแก่. แม้ว่าการพยากรณ์เหล่านี้จะเป็นความเชื่อส่วนบุคคลและยังต้องใช้วิจารณญาณ แต่หลายคนในภูมิภาคก็เลือกที่จะ “กันไว้ดีกว่าแก้” เตรียมพร้อมรับมือกับฝนและน้ำหลากที่อาจเกิดขึ้นตามคำทำนายในปีนี้
แหล่งที่มา: คำทำนายหมอดูและโหราจารย์ต่าง ๆ (หมอปลายเตือน น้ำท่วมใหญ่ปี 68 เสี่ยงเจอโศกนาฏกรรมหมู่) (ช่อง8 – ย้อนฟังคำนายสุดแม่น !!! “โหรฟองสนาน” ดวงเมืองบ่งบอกชัดเจน ปี …); ข้อความคำกล่าวโบราณและการคาดการณ์จากธรรมชาติที่เผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย (คนโบราณท่านกล่าวไว้ ปีไหนหนาวมากหนาวนาน ปีนั้นฝนจะตกดี ปีนี้บ้านเรา …); บทวิเคราะห์สภาพอากาศปี 2568 และความเห็นนักพยากรณ์ในสื่อออนไลน์ (ถอดบทเรียนภัยพิบัติซ้ำซาก ปัญหาเดิม เสียงเตือนปี2568 มาอีกแน่…ป้องกันดีกว่าเยียวยาไหม!! – ThaiPublica) (ถอดบทเรียนภัยพิบัติซ้ำซาก ปัญหาเดิม เสียงเตือนปี2568 มาอีกแน่…ป้องกันดีกว่าเยียวยาไหม!! – ThaiPublica).