อ่านให้ฟังจาก สุชัย Ai โดย Botnoi
นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์และนักธุรกิจเตือนคนอีสาน อย่าตื่นตระหนกกับการขึ้นภาษีของประธานาธิบดีสหรัฐ เหตุภาคอีสานไม่ได้รับผลกระทบเยอะ แนะเตรียมปรับตัวเพื่อหาตลาดใหม่และพึ่งพาตนเองแทนการส่งออก
รายการ “อีสานขานข่าว” ตอนพิเศษ เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2568 เปิดวงสนทนาเข้มข้นถึงผลกระทบจากนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของอเมริกาที่อาจส่งผลสะเทือนต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงวิถีชีวิตของชาวอีสาน และชาวไทย โดยมี รศ.ดร.สุทิน เวียนวิวัฒน์ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และนายชาญณรงค์ บุริสตระกูล ประธานหอการค้ากลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง ร่วมให้ความเห็นในรายการซึ่งดำเนินรายการโดยนางสุมาลี สุวรรณกร
รศ.ดร.สุทิน อธิบายว่า การที่ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าถึง 36% เป็นผลจากความพยายามลดการขาดดุลการค้าและหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงเกิน 120% ของ GDP โดยสหรัฐฯ เป็นประเทศที่นำเข้าสินค้ามากกว่าส่งออกต่อเนื่องหลายสิบปี สถานการณ์นี้ไม่ต่างจาก “มีใช้เงินเดือน 30,000 แต่ใช้จริง 40,000” เขาย้ำว่านโยบายนี้เป็นกลยุทธ์การเจรจาแบบนักธุรกิจของทรัมป์ ที่ตั้งราคาสูงไว้ก่อนเพื่อมีอำนาจต่อรอง
สินค้าที่ไทยส่งออกไปยังสหรัฐฯ เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ยางพารา และสินค้าเกษตร อาจได้รับผลกระทบ หากต้นทุนเพิ่มจากภาษีแล้วไม่สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นได้ โดยถ้าคู่แข่งของเราโดนภาษีนำเข้าต่ำกว่า เช่น สิงคโปร์ 10% แต่ไทยโดน 36% ไทยก็เสียเปรียบชัดเจน แต่หากมีกติกาภาษีที่เท่ากันไทยก็จะแข่งขันได้แน่นอนเพราะสินค้ามีคุณภาพดีกว่า” รศ.ดร.สุทิน กล่าว
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ รศ.ดร.สุทิน เขาเชื่อว่าอัตราภาษีที่ประกาศอาจไม่ใช่ตัวเลขสุดท้าย และยังมีโอกาสในการเจรจาเพื่อลดผลกระทบ โดยเฉพาะหากไทยสามารถแก้ปัญหาเรื่องพิธีการศุลกากรหรือการเปิดตลาดบางรายการสินค้านำเข้าได้ และเรื่องนี้แม้เกษตรกรอีสานอาจไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงในทันที โดยเฉพาะพื้นที่ที่ยังไม่พึ่งพาการส่งออกมากนัก แต่อย่าชะล่าใจ ควรเร่งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน และรวมกลุ่มสร้างอำนาจต่อรอง โดยเฉพาะในสินค้าอย่างยางพารา มันสำปะหลัง และข้าวหอมมะลิ
ด้านนายชาญณรงค์ มองว่าข่าวการขึ้นภาษีของทรัมป์เป็น “ช็อกโลก” เพราะเปรียบเสมือนการเปลี่ยนกติกาการค้าโลกอย่างกะทันหัน พร้อมเตือนนักธุรกิจไทยให้เลิกหวังพึ่งตลาดเดิม และเริ่มปรับตัวกับความไม่แน่นอน
“มันเหมือนเด็กเล่นเกม เปลี่ยนกติกาทุกวัน” เมื่อเป็นแบบนี้ เสนอให้ไทยหันไปพัฒนาสินค้าเกษตรแปรรูป เช่น ข้าวหอมมะลิ ปลาร้า หรืออาหารสุขภาพ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และขยายตลาดใหม่ เช่น ตะวันออกกลาง หรืออินเดีย แทนการพึ่งพาสหรัฐฯ หรือจีนเพียงสองขั้ว ยุคนี้ไม่ใช่เวลารอรัฐหรือ “ใจเย็นรอรัฐบาลจัดการ” แต่ประชาชน นักธุรกิจ เกษตรกรต้องรวมพลังคิดเอง ทำเอง สร้างโอกาสจากวิกฤต
โดยแม้ขณะนี้ภาครัฐ ต้องใช้เวลา 90 วันก่อนมาตรการมีผลเจรจาการค้ารอบใหม่กับสหรัฐฯ อย่างเร่งด่วน แต่เกษตรกร/ผู้ประกอบการ ควรปรับตัวทันที ลดต้นทุน เพิ่มคุณภาพ และมองหา Value Chain ใหม่ ผู้ส่งออก หาตลาดใหม่รองรับความผันผวน เช่น ตะวันออกกลาง อินเดีย อาเซียน สังคมไทย ควรมุ่งสู่เศรษฐกิจที่พึ่งพาตนเอง ลดการพึ่งพาการส่งออกแบบเดิม และ”อย่าตกใจจนไม่กล้าทำอะไร” วิกฤตอาจเป็นโอกาส หากเรารู้เท่าทัน และปรับตัวได้ทันเวลา.