ข่าวด่วน
Sun. Jul 20th, 2025
city ​​plan

คุยให้ฟัง โดย NotebookLM

อุบลราชธานี, 30 พฤษภาคม 2568 – เครือข่ายชุมชนเพื่อการปฏิรูปการสังคมและการเมือง จ.อุบลราชธานี ร่วมกับองค์กรภาคี  สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน), มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-Move), มูลนิธิชุมชนไท, มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย, มูลนิธิประชาสังคม จ.อุบลราชธานี, มูลนิธิเจ้าคำผง, มูลนิธิสื่อสร้างสุข และ Ubon Connect 

จัดเวทีเสวนาสาธารณะ “เมืองที่เราอยู่ไม่ได้ – ใครอยู่ได้? ใครถูกไล่?” ณ ห้องประชุมชั้น 3 อาคารป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลเมืองวารินชำราบ เพื่อเปิดพื้นที่ให้ประชาชนในชุมชนได้สะท้อนปัญหาการพัฒนาเมืองและการวางผังเมืองที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต โดยเฉพาะกลุ่มคนจนเมืองที่มักถูกละเลย

จำนงค์จิตรนิรัตน์ (นักพัฒนาอาวุโส รักษาการประธานมูลนิธิชุมชนไท) เน้นย้ำถึงปัญหาการพัฒนาเมืองที่ไม่คำนึงถึงชุมชน โดยยกตัวอย่างกรณีห้วยวังนองในอุบลราชธานี ซึ่งเดิมเป็นห้วยเล็กๆ แต่ถูกขุดขยายเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ และดินที่ขุดได้ถูกนำไปถมที่ลุ่มรอบเมือง ทำให้พื้นที่แก้มลิงหายไป ส่งผลให้น้ำท่วมเมืองหนักขึ้นเมื่อฝนตกหนัก 

เขาชี้ว่า การถมที่ลุ่มโดยไม่มีการควบคุมและผังเมืองที่ไม่รับผิดชอบต่อชุมชนทำให้คนจนเมืองได้รับผลกระทบหนักที่สุด เช่น น้ำท่วมบ้านเรือนและสูญเสียที่อยู่อาศัย อาจารย์จำนงค์เสนอว่า ผังเมืองต้องเริ่มจากความต้องการของชุมชน โดยให้ชุมชนมีส่วนร่วมกำหนดสีผังเมืองเพื่อปกป้องวิถีชีวิตดั้งเดิม และควรมีมาตรการควบคุมการถมที่เพื่อรักษาพื้นที่ชุ่มน้ำ

เสรีจันทร์ดก (ตัวแทนชุมชนบ่อบำบัดบูรพา)เล่าประสบการณ์การถูกไล่รื้อจากชุมชนบ่อบำบัดบูรพา ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้านมานานก่อนการสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียของเทศบาล เขาระบุว่า ชาวบ้านถูกบังคับให้ย้ายไปอยู่ในที่อยู่อาศัยขนาดเล็ก 3×3 เมตร ซึ่งไม่เหมาะสมกับการดำรงชีวิต โดยเฉพาะครอบครัวใหญ่ และไม่มีงบประมาณชดเชยหรือการดูแลที่เหมาะสม 

เสรีเน้นย้ำถึงความอยุติธรรมที่ชาวบ้านเผชิญ โดยเฉพาะการถูกกล่าวหาว่าบุกรุกที่สาธารณะ ทั้งที่ชุมชนอยู่อาศัยมาก่อนและมีเอกสารยืนยันการอยู่อาศัย เขายังเล่าถึงการต่อสู้ในชั้นศาลเพื่อรักษาสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย โดยเรียกร้องให้มีการจัดสรรที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมและเป็นธรรมสำหรับคนจนเมือง

คมสันต์จันทร์อ่อน (มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย) ชี้ว่า การเปลี่ยนสีผังเมืองคือการเปลี่ยนวิถีชีวิตของประชาชน โดยยกตัวอย่างกรุงเทพฯ ที่การเปลี่ยนสีผังเมืองทำให้คนจนถูกผลักออกจากเมือง ต้องซื้อที่ดินในพื้นที่ห่างไกล เช่น ชายแดนฉะเชิงเทรา หรือนครปฐม เนื่องจากราคาที่ดินในเมืองสูงขึ้น เขาเตือนว่า หากผังเมืองอุบลราชธานีเปลี่ยนสีโดยไม่คำนึงถึงชุมชน โครงการบ้านมั่นคงสำหรับคนจนจะทำได้ยากขึ้น คุณคมสันต์เสนอให้ชุมชนมีส่วนร่วมตั้งแต่ระดับหมู่บ้านเพื่อกำหนดสีผังเมืองที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต และเรียกร้องให้ผังเมืองกระจายความเจริญไปยังอำเภออื่นๆ ไม่กระจุกตัวที่อำเภอเมืองหรือวารินชำราบ เพื่อให้ทุกกลุ่มในสังคมอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี

นิกรวีสเพ็ญ (มูลนิธิเจ้าคำผง) เน้นย้ำถึงปัญหาการขาดการมีส่วนร่วมของชุมชนในการวางผังเมือง โดยระบุว่า การประชุมผังเมืองที่ผ่านมามักไม่ถึงชุมชน และชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่เข้าใจความหมายของสีผังเมือง เช่น สีเหลือง สีเขียว หรือสีแดง ซึ่งกำหนดชะตากรรมของการอยู่อาศัยและการทำมาหากิน 

เขายกตัวอย่างว่า กลุ่มนักธุรกิจและผู้ประกอบการมักเข้าร่วมประชุมผังเมืองก่อนและเสนอให้ขยายพื้นที่สีแดง (พาณิชยกรรม) หรือสีส้ม (ที่อยู่อาศัยหนาแน่น) เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ ส่งผลให้ชุมชนดั้งเดิมถูกกีดกัน 

นิกรเสนอให้จัดตั้ง “โรงเรียนผังเมือง” เพื่อให้ชุมชนเรียนรู้และมีส่วนร่วมกำหนดผังเมืองตั้งแต่ระดับหมู่บ้านไปจนถึงจังหวัด พร้อมเรียกร้องให้มีการแก้กฎหมายผังเมือง เช่น การเพิ่มโบนัส FAR (Floor Area Ratio) สำหรับโครงการที่จัดที่อยู่อาศัยราคาถูก หรือการคุ้มครองกลุ่มคนที่อยู่อาศัยดั้งเดิม

สุชัยเจริญมุขยนันท (พิธีกร) ทำหน้าที่ดำเนินรายการและสรุปประเด็น โดยเน้นย้ำว่า การสื่อสารเกี่ยวกับผังเมืองไม่ถึงชุมชน เนื่องจากพึ่งพาโซเชียลมีเดียเป็นหลัก ซึ่งคนจนเมืองที่ต้องทำมาหากินไม่มีเวลาติดตาม 

เขาเรียกร้องให้หน่วยงานท้องถิ่น เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน มีบทบาทในการสื่อสารข้อมูลผังเมืองให้ทั่วถึง เพื่อให้ชุมชนมีโอกาสเข้าร่วมและแสดงความเห็น สุชัยยังสนับสนุนแนวคิดการจัดตั้งโรงเรียนผังเมืองเพื่อให้ชุมชนมีพลังในการกำหนดอนาคตของเมือง

เวทีเสวนาครั้งนี้สะท้อนว่า การวางผังเมืองที่ขาดการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยเฉพาะคนจนเมือง นำไปสู่ปัญหาการสูญเสียที่อยู่อาศัย น้ำท่วม และความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้น ชุมชนถูกผลักออกจากเมืองโดยปราศจากการชดเชยที่เหมาะสม ขณะที่นักธุรกิจและผู้ประกอบการมักได้เปรียบจากการเปลี่ยนแปลงผังเมือง เพื่อให้เมืองอุบลราชธานีเป็นเมืองที่เป็นธรรมและทุกคนอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี 

เวทีนี้จึงมีข้อสรุปและแนวทางต่อไป ดังนี้:

  • จัดตั้งโรงเรียนผังเมือง
    เพื่อให้ชุมชนเรียนรู้ความหมายและผลกระทบของผังเมือง รวมถึงฝึกให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการกำหนดสีผังเมืองที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต โดยเริ่มจากระดับหมู่บ้านไปจนถึงจังหวัด มูลนิธิชุมชนไทและมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัยจะสนับสนุนการจัดตั้งโรงเรียนนี้
  • ผลักดันการมีส่วนร่วมของชุมชน
    เรียกร้องให้หน่วยงานท้องถิ่นปรับปรุงกลไกการสื่อสาร เช่น ผ่านกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อให้ข้อมูลผังเมืองถึงชุมชน และชุมชนต้องมีตัวแทนเข้าร่วมประชุมผังเมืองทุกครั้ง เพื่อป้องกันการครอบงำโดยกลุ่มนายทุน
  • แก้ไขกฎหมายผังเมือง
    เสนอให้มีการแก้กฎหมายผังเมืองเพื่อคุ้มครองชุมชนดั้งเดิม เช่น การกำหนดโบนัส FAR สำหรับโครงการที่จัดที่อยู่อาศัยราคาถูกหรือสำหรับผู้สูงอายุ รวมถึงการออกกฎหมายภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้าและภาษีลาภลอย เพื่อป้องกันการกว้านซื้อที่ดินก่อนผังเมืองเปลี่ยน
  • ต่อสู้เพื่อสิทธิชุมชน
    สนับสนุนชุมชนที่ถูกไล่รื้อ เช่น ชุมชนบ่อบำบัดบูรพา ในการต่อสู้ทางกฎหมายและเรียกร้องที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม พร้อมผลักดันให้มีงบประมาณชดเชยและการดูแลที่เป็นธรรม
  • กระจายความเจริญ
    เสนอให้ผังเมืองกระจายความเจริญไปยังอำเภออื่นๆ ในจังหวัด เพื่อลดความแออัดในอำเภอเมืองและวารินชำราบ และส่งเสริมให้ทุกกลุ่มในสังคมอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี

เวทีนี้ย้ำว่า “เมืองที่เป็นธรรม” จะเกิดขึ้นได้เมื่อทุกคน โดยเฉพาะคนจนเมือง มีสิทธิมีเสียงในการกำหนดอนาคตของเมือง ด้วยการเริ่มต้นจาก “การฟังเสียงของคนที่ถูกลืม” และสร้างผังเมืองที่สะท้อนความต้องการของทุกกลุ่มในสังคม

เมืองของเราจะเป็นของทุกคนเมื่อทุกคนมีส่วนร่วม

Related Post