ข่าวด่วน
Tue. Jul 8th, 2025

คุยให้ฟังโดย Notebook LM

ในรายการ *COFACT สนทนา รวมพลคนเช็กข่าว* ครั้งที่ 7 เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2561  ได้หยิบยกประเด็นร้อนที่อยู่ในความสนใจของประชาชนทั่วประเทศ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มักมีข่าวลือเกี่ยวกับภัยพิบัติอย่างแผ่นดินไหวและสึนามิแพร่สะพัดในโลกโซเชียลมีเดีย สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชน รายการนี้จึงชวนผู้เชี่ยวชาญและตัวแทนประชาชนมาร่วมถกประเด็น “เช็กข่าวลือแผ่นดินไหว, สึนามิอย่างไร ให้ได้ข่าวจริง?” เพื่อให้ความรู้และแนวทางในการรับมือกับข้อมูลเท็จ พร้อมสร้างความมั่นใจในระบบเตือนภัยของภาครัฐ

ผู้ร่วมสนทนา สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT , บุรินทร์ เวชบรรเทิง ผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหวและสึนามิ กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา , นุช คนเช็กข่าว ตัวแทนประชาชน สุชัย เจริญมุขยนันท ดำเนินรายการ

ความกังวลจากข่าวลือและการทำนายภัยพิบัติ

สุภิญญา กลางณรงค์ เปิดประเด็นด้วยการเล่าถึงความกังวลของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ เช่น จังหวัดกระบี่ ที่ญาติพี่น้องของเธอเองก็รู้สึกหวาดกลัวจากข่าวลือเรื่องสึนามิ ซึ่งมักถูกกระพือโดยการทำนายของหมอดูหรือข่าวลือในโซเชียลมีเดีย เป็นช่วงที่ต้องจับตาเรื่องแผ่นดินไหวและสึนามิ เธอชี้ว่า ความกลัวเหล่านี้เกิดจากทั้งข้อเท็จจริง เช่น เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในอดีต และความไม่รู้ที่ทำให้ประชาชนตื่นตระหนกเกินกว่าเหตุ สุภิญญาเน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีสติและการตรวจสอบข้อมูล เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการตื่นตัวและการป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของข่าวลวง

มุมมองจากประชาชน: ความท้าทายในการแยกแยะข่าวจริง-ข่าวลวง

นุช คนเช็กข่าว ในฐานะตัวแทนประชาชน เล่าถึงประสบการณ์ของกลุ่มเกษตรกรในจังหวัดอุบลราชธานี ที่ติดตามข้อมูลภัยพิบัติผ่านกลุ่มไลน์และสื่อต่างๆ เธอระบุว่า ข่าวลือมักถูกสร้างขึ้นเพื่อเรียกยอดวิวในโซเชียลมีเดีย ทำให้ประชาชนสับสนและไม่สามารถแยกแยะได้ว่าข้อมูลใดน่าเชื่อถือ นุชเสนอว่า ภาครัฐควรสื่อสารข้อมูลอย่างรวดเร็วและชัดเจนผ่านคลิปสั้นๆ ความยาวไม่เกิน 3 นาที เพื่อให้ทันกับกระแสข่าวลือ โดยเฉพาะเมื่อมีการทำนายจากหมอดูที่มักแพร่กระจายเร็วกว่าข้อมูลจากหน่วยงานราชการ

ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์จากผู้เชี่ยวชาญ

บุรินทร์ เวชบรรเทิง ผู้เชี่ยวชาญจากกองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา อธิบายว่า แผ่นดินไหวเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกวันทั่วโลก โดยเฉลี่ยมีแผ่นดินไหวระดับ 6 ขึ้นไปปีละประมาณ 100 ครั้ง และระดับ 7 ซึ่งอาจสร้างความเสียหายได้ ปีละประมาณ 10 ครั้ง ส่วนสึนามิมักเกิดจากแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในทะเล (มากกว่า 7.6) ที่มีการเคลื่อนตัวในแนวดิ่งของเปลือกโลก ทำให้เกิดการแทนที่น้ำในมหาสมุทร อย่างไรก็ตาม เขาย้ำว่า ประเทศไทยอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงแผ่นดินไหวระดับปานกลาง โดยแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยคือขนาด 6.4 ที่จังหวัดเชียงรายในปี 2557 ซึ่งสร้างความเสียหายไม่มากนัก

สำหรับสึนามิ บุรินทร์ชี้ว่า ประเทศไทยมีจุดเด่นคือมีชายฝั่งทั้งสองด้าน (อันดามันและอ่าวไทย) โดยฝั่งอ่าวไทยมีความเสี่ยงต่ำเนื่องจากอยู่ห่างจากแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหว ส่วนฝั่งอันดามันมีความเสี่ยงมากกว่า แต่จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เช่น การขุดพบตะกอนสึนามิโบราณ พบว่าสึนามิครั้งใหญ่ในแถบนี้มีวงจรการเกิดซ้ำทุก 600 ปี โดยครั้งล่าสุดเกิดในปี 2547 ทำให้โอกาสเกิดซ้ำในระยะใกล้นี้มีน้อย อย่างไรก็ตาม ภัยธรรมชาติไม่สามารถคาดเดาได้อย่างแม่นยำ 100%

ระบบเตือนภัยของภาครัฐ

บุรินทร์ยืนยันว่า กรมอุตุนิยมวิทยามีระบบเฝ้าระวังแผ่นดินไหวและสึนามิที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยเครื่องมือตรวจวัด เช่น ทุ่นลอยในมหาสมุทรและสถานีวัดระดับน้ำทะเล ซึ่งสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำได้ทันที หากเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.6 ขึ้นไปในทะเล ระบบจะแจ้งเตือนภายใน 10 นาที และคลื่นสึนามิใช้เวลาเดินทางถึงชายฝั่งประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง 

ทำให้มีเวลาเพียงพอในการอพยพประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัย เขายังระบุว่า การเตือนภัยในประเทศไทยประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่นและกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ข้อมูลถึงประชาชนอย่างรวดเร็วผ่านช่องทางต่างๆ เช่น เซลล์บรอดแคสต์ (Cell Broadcast) ซึ่งเริ่มทดลองใช้แล้วและประสบความสำเร็จในบางพื้นที่ เช่น จังหวัดเชียงใหม่

การรับมือข่าวลือและการสื่อสารในยุคดิจิทัล

สุภิญญาและนุชเห็นพ้องว่า การสื่อสารในยุคดิจิทัลเป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย ในอดีต (เช่น เหตุการณ์แผ่นดินไหวปี 2555 ที่ภูเก็ต) การสื่อสารของภาครัฐล่าช้าและพึ่งพาสื่อทีวีเป็นหลัก แต่ปัจจุบันโซเชียลมีเดียทำให้ทุกคนสามารถแชร์ข้อมูลได้ทันที ซึ่งนำไปสู่ปัญหาข้อมูลล้นเกินและข่าวลวง สุภิญญาแนะนำให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น เว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียของกองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา และฝึกเป็นพื้นฐานด้วยการหยุดคิดก่อนแชร์ข้อมูล

บุรินทร์แนะนำเพิ่มเติมว่า หากได้รับข่าวลือเกี่ยวกับสึนามิ ควรถามตัวเองว่าแผ่นดินไหวเกิดในทะเลแถบอันดามันและมีขนาดเกิน 7.6 หรือไม่ และพื้นที่ที่อยู่อาศัยเคยถูกคลื่นสึนามิท่วมถึงหรือไม่ 

พร้อมย้ำว่า ช่องทางการติดตามข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่สุดคือกองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว ผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ (ค้นหาคำว่า “earthquake tmd” หรือ “กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว” )

รายการ *COFACT สนทนารวมพลคนเช็กข่าว* ครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า ข่าวลือเกี่ยวกับแผ่นดินไหวและสึนามิเป็นปัญหาที่สร้างความตื่นตระหนกให้ประชาชน โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลจากหมอดูหรือโซเชียลมีเดียแพร่กระจายเร็วกว่าข้อมูลจากภาครัฐ ผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่า ประเทศไทยมีความเสี่ยงจากแผ่นดินไหวในระดับปานกลาง และสึนามิมีโอกาสเกิดซ้ำในรอบหลายร้อยปี อย่างไรก็ตาม ระบบเตือนภัยของกรมอุตุนิยมวิทยาทำงานตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถแจ้งเตือนได้ทันท่วงทีหากเกิดเหตุการณ์จริง ประชาชนควรติดตามข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว และมีสติก่อนแชร์ข้อมูล เพื่อลดการแพร่กระจายของข่าวลวง

คำแนะนำสำหรับประชาชน

– ตรวจสอบข้อมูลจากกองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา ผ่านเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดีย

– หยุดคิดก่อนแชร์ข่าวลือ โดยเฉพาะในช่วงที่กระแสข่าวภัยพิบัติกำลังแพร่สะพัด

– หากอยู่ในพื้นที่เสี่ยง เช่น ฝั่งอันดามัน ให้ทราบจุดอพยพที่ปลอดภัยและติดตามการซักซ้อมของหน่วยงานท้องถิ่น

Related Post