คุยให้ฟัง โดย Notebook LM
อุบลราชธานี, 14 กรกฎาคม 2568 – ศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมือง สถาบันพระปกเกล้า จังหวัดอุบลราชธานี ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี และคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ จัดเสวนา “การเทียบเคียงการพัฒนาเมืองอย่างบูรณาการของจังหวัดอุบลราชธานีกับกลุ่มจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” ณ ห้องประชุมบุษยรัตน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระดมความคิดและถอดบทเรียนจากจังหวัดใกล้เคียงในการพัฒนาเมืองอย่างบูรณาการ พร้อมหาแนวทางแก้ไขปัญหาน้ำท่วมด้วยการพัฒนาทางยกระดับเชื่อมอำเภอวารินชำราบและอำเภอเมืองอุบลราชธานี เพื่ออำนวยความสะดวกในการสัญจรช่วงน้ำท่วม.
พิธีเปิดโดย ร้อยตรี สรมงคล มงคละสิริ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี และกล่าวรายงานโดย รองศาสตราจารย์ นพดล จันทร์เพ็ญ รองประธานศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมือง สถาบันพระปกเกล้า จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน การเสวนาดำเนินรายการโดย อาจารย์นพภา พันธุ์เพ็ง ประธานมูลนิธิสื่อสร้างสุข โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากจังหวัดต่าง ๆ ในภาคอีสาน ดังนี้
ถอดบทเรียนจากวิทยากร: หัวใจความสำเร็จของแต่ละจังหวัด
1. นางสาวพูนทรัพย์ เทพนคร – ประธานหอการค้าจังหวัดบุรีรัมย์
หัวใจความสำเร็จ : ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการเมือง
นางสาวพูนทรัพย์ กล่าวถึงการพัฒนาแบบก้าวกระโดดของบุรีรัมย์ว่า เกิดจากความร่วมมืออย่างเข้มแข็งของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการประชุมร่วมกันทั้งจังหวัด รวมถึงเทศบาล อบต. ภาคเอกชน และพ่อค้าแม่ค้า เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาที่ชัดเจนและเห็นผลประโยชน์ต่อส่วนรวม บุรีรัมย์เปลี่ยนจาก “เมืองผ่าน” ที่เงียบเหงาหลังสองทุ่ม กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับ 4 ของภาคอีสานภายใน 5 ปี ด้วยการสร้างแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น สนามแข่งรถและสนามฟุตบอล ตามวิสัยทัศน์ของผู้นำที่มองเห็นโอกาสและผลักดันให้ทุกคนมีส่วนร่วม แม้ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติที่โดดเด่น ความภูมิใจในท้องถิ่นและการไม่ยอมตกขบวนพัฒนาการเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ.
2. นายมงคล จุลทัศน์ – ประธานอาวุโสหอการค้าจังหวัดอุบลราชธานี
หัวใจความสำเร็จ: การระดมความคิดเห็นและความสามัคคี
นายมงคล เน้นย้ำถึงความท้าทายของอุบลราชธานีที่ถดถอยในด้านรายได้ต่อหัว โดยติดอันดับ 10 จังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำสุดของไทยในปี 2566 และมีประชากรถึง 30% ต้องพึ่งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เขาเสนอว่าการพัฒนาเมืองต้องเริ่มจากการรวมพลังทุกภาคส่วน แต่ยอมรับว่าอุบลฯ ยังขาดความสามัคคีและความชัดเจนในทิศทางการพัฒนา เขาเรียกร้องให้มีการผลักดันโครงการทางยกระดับเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมที่รุนแรง โดยเฉพาะในปี 2565 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการสัญจรและเศรษฐกิจ พร้อมชี้ว่าการพัฒนาต้องมองผลกระทบระยะยาวและความคุ้มค่าในการลงทุน.
3. นายชาญณรงค์ บุริสตระกูล – อดีตประธานหอการค้าจังหวัดขอนแก่น
หัวใจความสำเร็จ: โครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งและวิสัยทัศน์ระยะยาว
นายชาญณรงค์ กล่าวถึงขอนแก่นว่าเป็นจังหวัดที่รักษาความเป็นผู้นำในภาคอีสานได้ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย เช่น มอเตอร์เวย์และรถไฟทางคู่ รวมถึงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) เขาเน้นว่าการพัฒนาเมืองต้องมองภาพใหญ่เกินกว่าปัญหาท้องถิ่น เช่น การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบในลุ่มน้ำชีและน้ำมูล และการสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันเพื่อดึงดูดการลงทุน เขายังตั้งคำถามถึงการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ (New S-Curve) เพื่อเพิ่มรายได้และคุณภาพชีวิต โดยชี้ว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ หากขาดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ยั่งยืน.
4. นายรัฐวิทย์ อังคสกุลเกียรติ – ประธานหอการค้าจังหวัดศรีสะเกษ
หัวใจความสำเร็จ: การใช้ Soft Power และการพัฒนาอย่างรวดเร็ว
นายรัฐวิทย์ เปิดเผยว่าศรีสะเกษก้าวข้ามจากการเป็น 1 ใน 10 จังหวัดที่ยากจนที่สุดในอดีต ด้วยการใช้ Soft Power เช่น การจัดงานเทศกาลภาพยนตร์เคลื่อนที่ ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ รวมถึงการยื่นขอเป็นเมืองดนตรีของยูเนสโกในอนาคต เขายังกล่าวถึงโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังพัฒนา เช่น สายไฟลงใต้ดินและระบบรางรถไฟความเร็วสูง ซึ่งจะเปลี่ยนโฉมศรีสะเกษใน 2-3 ปี ความสำเร็จมาจากความมุ่งมั่นและความเป็นเอกภาพในการผลักดันวิสัยทัศน์ร่วมกันของภาคเอกชนและชุมชน.
5. นายวันปิยะ ภุมมะภูมิ – ผู้อำนวยการแขวงทางหลวงอุบลราชธานีที่ 1
การบูรณาการโครงสร้างพื้นฐานและการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ
นายวันปิยะ เผยว่าแขวงทางหลวงอุบลราชธานีที่ 1 มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การติดตั้งไฟส่องสว่างทั่วเมือง การจัดการป้ายโฆษณาเพื่อความสวยงาม และการดูแลอุโมงค์น้ำท่วมอย่างใกล้ชิด เขายอมรับว่าปัญหาน้ำท่วมในปี 2565 สร้างความท้าทาย โดยเฉพาะการสัญจรจากวารินชำราบสู่อุบลฯ ที่ต้องใช้ระยะทางเพิ่มจาก 2 กม. เป็น 30 กม. เขาเสนอให้มีการศึกษาและผลักดันโครงการทางยกระดับ โดยเน้นความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม พร้อมยกตัวอย่างการแก้ปัญหาด้วยการติดตั้งรั้วกั้นเพื่อบังคับใช้สะพานลอย และการเตรียมเส้นทางสำรองเพื่อรับมือน้ำท่วม.
โอกาสของทางยกระดับและแนวทางการพัฒนาเมืองอุบลราชธานี
การเสวนาครั้งนี้สะท้อนถึงความท้าทายของอุบลราชธานีในการแก้ปัญหาน้ำท่วมและการพัฒนาเมืองให้ทัดเทียมจังหวัดอื่นในภาคอีสาน **โอกาสของทางยกระดับ** ถูกมองว่าเป็นทางออกที่ยั่งยืนในการแก้ปัญหาการสัญจรในช่วงน้ำท่วม โดยเฉพาะการเชื่อมต่อระหว่างอำเภอวารินชำราบและอำเภอเมือง ซึ่งได้รับการยื่นข้อเสนอเข้าสู่การพิจารณาของกรมทางหลวงแล้ว แม้ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาความเป็นไปได้และความคุ้มค่า
บทเรียนจากจังหวัดอื่น ชี้ให้เห็นว่า:
– บุรีรัมย์ ประสบความสำเร็จจากความร่วมมือฝ่ายการเมืองและทุกภาคส่วนและการสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่
– ขอนแก่น เริ่มจากชวนทุกภาคส่วนมาร่วมพูดคุย เน้นโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยและการมองภาพรวมระดับชาติ
– ศรีสะเกษ ใช้ Soft Power และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานควบคู่กัน
– อุบลราชธานี ต้องเสริมสร้างความสามัคคีและกำหนดวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน
วิทยากรทุกท่านย้ำว่าการพัฒนาเมืองอย่างบูรณาการต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐ เอกชน และประชาชน รวมถึงการผลักดันเศรษฐกิจใหม่ เช่น การท่องเที่ยว การศึกษา และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เพื่อเพิ่มรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิต อุบลราชธานีมีศักยภาพในการเป็นเมืองศูนย์กลาง GMS และเมืองดนตรี หากสามารถรวมพลังและกำหนดทิศทางที่ชัดเจนได้.
งานนี้ได้รับการถ่ายทอดผ่านสื่อเครือข่าย เช่น อุบล Connect, อยู่ดีมีแฮง, VR Cable, วารินชำราบบ้านเฮา, สำนักประชาสัมพันธ์เขต 2 สำนักงานประชาสัมพันธ์จ.อุบลราชธานี สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย และสมาคมสื่อมวลชนอุบลราชธานี พร้อมได้รับการสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานี และสื่อมวลชนทุกภาคส่วน การเสวนาครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการขับเคลื่อนอุบลราชธานีสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างเป็นระบบ
#อุบลราชธานี #พัฒนาเมือง #ทางยกระดับ #น้ำท่วม #อีสาน