คุยให้ฟังโดย Notebook LM
เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 รายการ “โคแฟคสนทนา รวมพลคนเช็กข่าว เฉพาะกิจ” ได้ออกอากาศในช่วงเวลา 20.00 น. เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเกิดเหตุรุนแรงตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม โดยมีทหารไทยบาดเจ็บ 5 นายจากเหตุเหยียบกับระเบิด รวมถึง 1 นายที่ต้องสูญเสียขา และมีการปิด 4 ด่านชายแดน ได้แก่ ช่องอานม้า ช่องสะงำ ช่องจอม ช่องสายตะกู รวมถึงปราสาทตามเมืองทองและตาควาย หลังกัมพูชาเริ่มยิงโจมตีก่อน ส่งผลให้เกิดการปะทะตลอดทั้งวัน รายการนี้มี **นายสุชัย เจริญมุขยนันท** เป็นผู้ดำเนินรายการ พร้อมด้วยวิทยากร **นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์** ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT และ **นางสาวกุลธิดา สามะพุทธิ** Fact-checker จาก COFACT ร่วมวิเคราะห์ถึงสถานการณ์และปัญหาการแพร่กระจายของข้อมูลข่าวสารที่อาจสร้างความสับสนในช่วงวิกฤต
เรียกร้องยุติความรุนแรง ระวังสงครามข้อมูล
นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ เริ่มต้นด้วยการแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการบาดเจ็บของทหารไทยและผลกระทบต่อประชาชนทั้งชาวไทยและกัมพูชา พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติการใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะฝั่งเพื่อนบ้านที่เริ่มปฏิบัติการก่อน เธอกล่าวว่า “เรารู้สึกเห็นใจพี่น้องทั้งชาวไทยและกัมพูชาที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นนี้” และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการจัดการข้อมูลในยุคที่ “สงครามข้อมูลข่าวสาร” กลายเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง โดยระบุว่า “สิ่งแรกที่บาดเจ็บล้มตายในภาวะสงครามคือความจริง”
สุภิญญาเตือนว่า การแพร่กระจายของข่าวลือและข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบอาจสร้างความสับสนและความเกลียดชัง เธอแนะนำให้ประชาชนตั้งสติก่อนแชร์ข้อมูล โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย และเลือกเชื่อเฉพาะแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ เช่น เพจทางการของหน่วยงานรัฐ หรือสื่อมวลชนที่มีจริยธรรม เธอยังชี้ว่า ภาครัฐควรจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจเพื่อให้ข้อมูลที่เป็น “Fact-based” และทันท่วงที เพื่อลดความสับสนในหมู่ประชาชนและสื่อมวลชน
นอกจากนี้ สุภิญญายังแสดงความกังวลต่อความปลอดภัยของสื่อมวลชนที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยง โดยอ้างถึงแถลงการณ์ของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยที่เรียกร้องให้สื่อทำงานอย่างมืออาชีพและภาครัฐควรมีมาตรการปกป้องนักข่าว เธอยังขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการแชร์ข้อมูลที่อาจยั่วยุความเกลียดชังต่อชาวกัมพูชา โดยเฉพาะแรงงานในประเทศไทย พร้อมยกตัวอย่างโพสต์ของ **นายสมบัติ บุญงามอนงค์ (หนูหริ่ง)** ที่เตือนว่า การคุกคามชาวกัมพูชาในไทยอาจส่งผลกระทบต่อคนไทยในกัมพูชา สร้างวงจรความเกลียดชังที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย
สุภิญญากล่าวทิ้งท้ายว่า การรักชาติในยามวิกฤตสามารถแสดงออกได้ด้วยการตั้งสติ ไม่แชร์ข่าวลือ และมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ รวมถึงการช่วยกันตรวจสอบข้อมูลเพื่อลดความสับสนในสังคม
เปิดกลยุทธ์ตรวจสอบข่าวลวงในภาวะวิกฤติ
นางสาวกุลธิดา สามะพุทธิ Fact-checker จาก COFACT เล่าถึงความท้าทายในการตรวจสอบข้อมูลท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียด โดยทีม COFACT ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อแยกแยะระหว่างข่าวจริงและข่าวปลอมที่แพร่กระจายในโซเชียลมีเดีย เธอยกตัวอย่างกรณีที่ตรวจสอบ 3 คลิปไวรัลในวันเกิดเหตุ:
1. คลิปปั๊มน้ำมันปตท. อำเภอกันทรลักษ์ : คลิปนี้แสดงภาพกลุ่มควันจากการโจมตี ซึ่งถูกแชร์อย่างกว้างขวางในโซเชียลมีเดีย ทีม COFACT พยายามติดต่อเจ้าของคลิปแต่ไม่ได้รับการตอบกลับ อย่างไรก็ตาม 30 นาทีต่อมา กองทัพภาคที่ 2 โพสต์ยืนยันว่ามีกระสุนตกลงที่ปั๊มน้ำมันจริง ทำให้ยืนยันได้ว่าเป็นคลิปจากเหตุการณ์จริง
2.คลิปโรงพยาบาลพนมดงรัก : มีการแชร์คลิปที่อ้างว่าเกิดเหตุรุนแรงที่โรงพยาบาลพนมดงรัก ทีม COFACT เริ่มต้นด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากสถานการณ์ในพื้นที่อาจทำให้การติดต่อโรงพยาบาลโดยตรงไม่เหมาะสม จึงติดต่อผู้นำชุมชนในอำเภอพนมดงรัก ซึ่งยืนยันว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง และต่อมาได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัดว่ามีเหตุการณ์จริงแต่ยังไม่สามารถให้รายละเอียดเพิ่มเติมได้
3.คลิปเครื่องบิน F-16 : คลิปที่อ้างว่าเป็นเครื่องบิน F-16 ของไทยถล่มฐานทัพกัมพูชา ทีม COFACT ใช้เทคนิค Reverse Image Search ผ่าน Google พบว่าคลิปนี้เป็นภาพเก่าตั้งแต่ปี 2023 และเคยถูกแชร์ในบริบทความขัดแย้งอื่น เช่น อินเดีย-ปากีสถาน หรือเหตุการณ์ในตะวันออกกลาง จึงยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งไทย-กัมพูชา
กุลธิดายังยกตัวอย่างคลิปไวรัลใน TikTok ที่อ้างว่านักเรียนในวิทยาลัยการอาชีพสังขะ จ.สุรินทร์ วิ่งหนีทหารกัมพูชาที่ไล่ยิง ทีมงานติดต่อเพจ Facebook ของวิทยาลัย ซึ่งแอดมินยืนยันว่าเป็นเหตุการณ์จริง แต่เกิดจากนักเรียนตื่นตระหนกจากเสียงระเบิดและวิ่งหาที่หลบภัย ไม่ใช่ถูกทหารกัมพูชาไล่ยิงตามที่แคปชั่นระบุ เธอชี้ว่า การบิดเบือนบริบท (context) เป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด
กุลธิดาแนะนำให้ประชาชนฝึกทักษะการตรวจสอบข้อมูลด้วยตนเอง เช่น การใช้ Google Reverse Image Search และเรียกร้องให้ผู้ที่พบข้อมูลน่าสงสัยส่งมาให้ COFACT ตรวจสอบ เพื่อเป็น “การบริจาคข้อมูล” ที่ช่วยลดการแพร่กระจายของข่าวลวง เธอยังฝากถึงหน่วยงานที่ได้รับการติดต่อจาก COFACT ให้ช่วยยืนยันข้อมูลเพื่อประโยชน์ของสาธารณะ
รายการนี้สะท้อนถึงความท้าทายในการจัดการข้อมูลท่ามกลางความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา โดยวิทยากรทั้งสามท่านเน้นย้ำให้ประชาชนตั้งสติ ไม่แชร์ข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน และสนับสนุนให้ภาครัฐจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจเพื่อให้ข้อมูลที่รวดเร็วและน่าเชื่อถือ COFACT ยังเรียกร้องให้ประชาชนร่วมเป็น “อาสาสมัคร fact-checkers” โดยส่งข้อมูลน่าสงสัยมาให้ตรวจสอบ เพื่อช่วยลดการแพร่กระจายของข่าวลวงและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในสังคม
สำหรับผู้ที่ต้องการติดตามข้อมูลที่น่าเชื่อถือ แนะนำให้ติดตามเพจทางการของหน่วยงาน เช่น สำนักงานจังหวัด สาธารณสุขจังหวัด หรือสื่อหลักอย่าง Thai PBS, AFP ประเทศไทย และ COFACT รวมถึงฝึกทักษะการตรวจสอบข้อมูลด้วยตนเองเพื่อรับมือกับวิกฤตข้อมูลข่าวสารในอนาคต
รายการนี้ยังส่งกำลังใจถึงทหาร สื่อมวลชน และประชาชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบ โดยหวังว่าสถานการณ์จะคลี่คลายโดยเร็ว และขอให้ทุกฝ่ายปลอดภัยท่ามกลางความขัดแย้งนี้