คุยให้ฟังโดย Notebook LM
รายการ โคแฟคสนทนา รวมพลคนเช็กข่าว เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 รายการได้เจาะลึกประเด็นร้อน “อ้างเพจตำรวจลงทะเบียนรับเงินคืนจากมิจฉาชีพได้จริงหรือ?” เพื่อคลายข้อสงสัยและให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับกลโกงออนไลน์ที่กำลังระบาด โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญร่วมถกแถลง ได้แก่ สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT, ร.ต.ท. กฤษกรณ์ ก้องศักดิ์ศรี รองสารวัตรกลุ่มงานป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กองบังคับการตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ตอท.) กองบัญชาการตำรวจสืบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.), ไอรีณ คนเช็กข่าว , วิทยา บุญฉวี หัวหน้าหน่วยประสานงาน สภาผู้บริโภคจังหวัดอุบลราชธานี ดำเนินรายการโดย สุชัย เจริญมุขยนันท
ข่าวลวงยังเป็นภัย ต้องรู้เท่าทัน
สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT เริ่มต้นด้วยการชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์ข่าวลวงในยุคดิจิทัลที่ยังคงเป็นภัยคุกคามต่อสังคม โดยเฉพาะในช่วงที่กระแสข่าวสารเกี่ยวกับความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชากำลังได้รับความสนใจ เธอกล่าวว่า “นอกจากประเด็นความขัดแย้งระหว่างประเทศ สังคมไทยยังต้องเผชิญกับมิจฉาชีพออนไลน์ที่พัฒนากลโกงอย่างต่อเนื่อง การตรวจสอบข้อมูลจึงสำคัญยิ่งเพื่อป้องกันความเสียหาย” สุภิญญายังตั้งคำถามที่น่าสนใจเกี่ยวกับการลดลงของการหลอกลวงออนไลน์ โดยสงสัยว่าเป็นผลจากสถานการณ์ชายแดนหรือเพียงแค่ความเข้าใจผิด เธอเน้นย้ำว่า COFACT มุ่งส่งเสริมให้ทุกคนเป็น “Fact Checker” เพื่อตรวจสอบข้อมูลก่อนเชื่อหรือแชร์ต่อ เพื่อลดวงจรข่าวลวงในสังคม
จุดประเด็นจากโซเชียลมีเดีย
ไอรีณ คนเช็กข่าว เปิดประเด็นด้วยการหยิบยกโพสต์จากโซเชียลมีเดียที่พบใน Facebook ซึ่งระบุว่ามีเพจที่อ้างว่าเป็นของตำรวจให้ประชาชนลงทะเบียนเพื่อรับเงินเยียวยาจากการถูกมิจฉาชีพหลอก เธอตั้งคำถามว่า “มันจริงหรือไม่?” ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการถกประเด็นในรายการ ไอรีณสะท้อนถึงความสับสนของประชาชนที่อาจหลงเชื่อโพสต์ดังกล่าว และเรียกร้องให้มีการตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบเพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อซ้ำ.
การลงทะเบียนรับเงินคืนไม่มีจริง
ร.ต.ท. กฤษกรณ์ ก้องศักดิ์ศรี หรือ “หมวดก๊อต” รองสารวัตรกลุ่มงานป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับประเด็นการลงทะเบียนรับเงินคืนจากมิจฉาชีพผ่านเพจที่อ้างว่าเป็นของตำรวจ โดยยืนยันว่า ไม่มีเพจตำรวจที่ให้ลงทะเบียนรับเงินคืนจากมิจฉาชีพอยู่จริง เขาอธิบายว่า ข่าวลือหรือโพสต์ที่แพร่กระจายในโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับการลงทะเบียนเพื่อรับเงินเยียวยาฟรีนั้นเป็นกลโกงของมิจฉาชีพที่หวังหลอกเอาข้อมูลส่วนตัวหรือเงินจากประชาชน
ร.ต.ท. กฤษกรณ์ ยังชี้แจงถึง โอกาสที่จะได้เงินคืนมี 2 เงื่อนไขหลัก ซึ่งโอกาสที่จะได้คืนยากมาก
1. ต้องรู้ตัวเร็วและแจ้งอายัดบัญชีทันที ผ่านสายด่วน 1441 เพื่อให้ตำรวจสามารถอายัดเงินในบัญชีของมิจฉาชีพได้ก่อนที่เงินจะถูกโอนต่อไป ซึ่งเขายอมรับว่าเป็นเรื่องยาก เนื่องจากมิจฉาชีพมักโอนเงินออกจากบัญชีอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่นาที
2. บัญชีม้าที่มาหลอกเราต้องเป็นบัญชีที่เปิดใหม่
เขาเน้นว่าโอกาสในการได้เงินคืนยังมีน้อย เนื่องจากมิจฉาชีพมีระบบโอนเงินอัตโนมัติที่ซับซ้อน โดยเฉพาะในคดีหลอกลงทุน ซึ่งเหยื่อมักรู้ตัวช้าเกินไป เช่น หลังโอนเงินไปแล้ว 1 สัปดาห์ถึง 4-5 เดือน
หมวดก็อต ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ยอดคดีหลอกลวงออนไลน์ในปัจจุบันที่มีสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ยังคงสูง โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1,100 คดีต่อวัน ซึ่งไม่มีการลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า เช่นช่วงจปราบแก็งค์คอลเซ็นเตอร์ต่างประเทศ เคยทำให้ยอดคดีลดลงราว 20% ในช่วงต้นปี ความเชื่อมโยงระหว่างสถานการณ์ชายแดนและการลดลงของกลโกงมิจฉาชีพ ไม่มีการลดลงของคดีหลอกลวงอย่างที่คาดหวัง
นายวิทยา บุญฉวีเล่าวิทยา บุญฉวี หัวหน้าหน่วยประสานงาน สภาผู้บริโภคจังหวัดอุบลราชธานี
ได้เล่าถึงกรณีที่รับเรื่องร้องเรียนมาก็คือ ทางผู้บริโภค ถูกหลอกกู้เงินออนไลน์ แล้วไปร้องเพจตำรวจไซเบอร์ปลอม ให้แอดไลน์หน่วยปฏิบัติงานพิเศษ 538 พบเจ้าหน้าที่ปลอม หลอกโอนเงินอีก
จึงได้ร้องทาง หน่วยประสานงาน สภาผู้บริโภคจังหวัดอุบลราชธานี ก็แนะนำให้โทรฯไป 1441 แจ้งเหตุตำรวจไซเบอร์ เพื่อให้ธนาคารอายัดบัญชี ภายใน 72 ชั่วโมง ถ้าเกินนั้น บัญชีจะใช้งานได้ และแจ้งความขออายัดบัญชี ที่สถานีตำรวจโดยตรง
การอ้างเพจตำรวจลงทะเบียนรับเงินคืนจากมิจฉาชีพได้ไม่เป็นความจริง เราควรรู้เท่าทันการหลอกลวง หากถูกหลอกรีบแจ้ง 1441 ตำรวจไซเบอร์ โดยเร็วที่สุดเพื่ออายัดบัญชีมิจฉาชีพ การดำเนินการทางออนไลน์หลายอย่างอาจเป็นการหลอกลวงได้ เช่น จองโรงแรม ได้รับสินค้าไม่ตรงปก ฯลฯ ต้องระมัดระวัง