ข่าวด่วน
Wed. Aug 27th, 2025
fact checker

วันที่ 26 สิงหาคม 2568 รายการ “โคแฟคสนทนา รวมพลคนเช็กข่าว” ออกอากาศตอนที่ 14 โดยมีนายสุชัย เจริญมุขยนันท เป็นผู้ดำเนินรายการ ร่วมด้วยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT, นายสุผจญ กลิ่นสุวรรณ ผู้สื่อข่าวพิเศษไทยรัฐ และนายบัญชา จันทร์สมบูรณ์ จากกองบรรณาธิการโคแฟค เพื่อถกประเด็นข่าวลวงที่เกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา พร้อมแนะแนวทางรับมือเพื่อให้ประชาชนตั้งสติและตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ

สุภิญญา กลางณรงค์: เรียกร้องสติและข้อเท็จจริง

นางสาวสุภิญญา เริ่มต้นด้วยการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการตั้งสติท่ามกลางกระแสข้อมูลที่ล้นทะลัก โดยเฉพาะในสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ซึ่งแม้จะเริ่มคลี่คลาย แต่ข่าวลือและข้อมูลบิดเบือนยังคงสร้างความสับสนทั้งในหมู่ประชาชนไทยและกัมพูชา เธอชี้ว่า ความเป็นจริงนั้นโหดร้ายเพียงพอแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องมีการปรุงแต่งหรือบิดเบือนเพื่อเพิ่มความขัดแย้ง พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยึดข้อเท็จจริงเป็นหลัก เพื่อลดความเกลียดชังและความเข้าใจผิดที่อาจนำไปสู่ปัญหาที่ใหญ่ขึ้น เธอยังยกตัวอย่างปรากฏการณ์ “ผัดหมี่งู” ที่แสดงถึงความร้อนแรงของข่าวลือในทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็นการเมือง ศาสนา หรือการทหาร และเน้นย้ำบทบาทของสื่อมวลชนที่ต้องเป็นที่พึ่งของประชาชนด้วยการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง

สุผจญ กลิ่นสุวรรณ: ประสบการณ์ลงพื้นที่และความท้าทายในการแปล

นายสุผจญ เล่าประสบการณ์การลงพื้นที่สัมภาษณ์คณะผู้แทนจากอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งรวมถึงทูตเยอรมันและตัวแทนจากองค์กร Golden West ที่ทำงานด้านการกู้ระเบิด เขายกตัวอย่างกรณีคลิปสัมภาษณ์ที่ถูกนำไปตัดต่อและแชร์ในกัมพูชา จนกลายเป็นไวรัลด้วยยอดวิว 4.3 ล้านครั้ง พร้อมข้อความโจมตีว่าเขาเป็น “ขี้ขโมยศพ” ซึ่งสะท้อนถึงการใช้ข้อมูลบิดเบือนเพื่อปลุกกระแสชาตินิยม นอกจากนี้ เขายังชี้ถึงปัญหาการแปลข้อมูลจากภาษาอังกฤษเป็นไทย โดยเฉพาะกรณีการสัมภาษณ์คณะผู้แทนเนเธอร์แลนด์เกี่ยวกับระเบิดที่พบในพื้นที่ภูมะเขือ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งคำว่า “new” (ใหม่) ถูกตีความผิดพลาดจนทำให้เกิดความเข้าใจว่าเป็นระเบิดที่ฝังใหม่ สร้างความสับสนในวงกว้าง เขาเน้นย้ำว่า ความละเอียดอ่อนในการแปลและการรายงานข่าวมีความสำคัญอย่างยิ่งในสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ

นายสุผจญ ยังเปรียบเทียบเสรีภาพสื่อระหว่างไทยและกัมพูชา โดยระบุว่าไทยอยู่ในอันดับ 2 ของอาเซียนในด้านเสรีภาพสื่อ ขณะที่กัมพูชาอยู่อันดับ 9 จาก 180 ประเทศ ซึ่งแสดงถึงข้อจำกัดของสื่อกัมพูชาที่ถูกควบคุมผ่านนโยบาย Single Gateway ทำให้ความน่าเชื่อถือของข้อมูลจากกัมพูชาในเวทีสากลลดลง เขาแนะนำให้ประชาชนตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าวและหลีกเลี่ยงการแชร์ข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน เพื่อป้องกันการเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา

บัญชา จันทร์สมบูรณ์: ตรวจสอบข่าวลวงด้วยเครื่องมือดิจิทัล

นายบัญชา แบ่งปันประสบการณ์การตรวจสอบข่าวลวง โดยยกตัวอย่างกรณีคลิปที่อ้างว่าเป็นการรื้อบ้านชาวกัมพูชาในบริเวณชายแดน แต่เมื่อตรวจสอบด้วย Google Lens พบว่าเป็นเหตุการณ์ในอินโดนีเซียที่เกี่ยวข้องกับการรื้อสถานบันเทิงที่พัวพันกับยาเสพติด อีกกรณีคือคลิปที่อ้างว่าเป็นรถถังกัมพูชาระเบิด แต่แท้จริงแล้วมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งเผยแพร่โดยหนังสือพิมพ์เดอะซันของอังกฤษตั้งแต่ปี 2567 เขาอธิบายว่า การตรวจสอบภาพและคลิปที่มีแคปชั่นซับซ้อนอาจใช้เวลานานถึงครึ่งวัน และแนะนำให้ประชาชนใช้เครื่องมืออย่าง Google Lens เพื่อตรวจสอบแหล่งที่มาของภาพหรือคลิปก่อนแชร์ นอกจากนี้ เขายังชี้ถึงความท้าทายในยุค AI ที่ข่าวลวงถูกสร้างด้วยเทคโนโลยีที่เนียนมากขึ้น ทำให้การตรวจสอบต้องอาศัยทั้งเครื่องมือและสติของผู้บริโภค

นายบัญชายังยกบทความจากนิตยสาร The Diplomat ที่เขียนโดยนักวิชาการชาวกัมพูชา ซึ่งระบุว่าสื่อกัมพูชาขาดเสรีภาพและถูกควบคุมอย่างเข้มงวดเมื่อเทียบกับไทย ซึ่งมีสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศและสำนักข่าวระดับโลกตั้งสำนักงานอยู่ ส่งผลให้ไทยได้รับความน่าเชื่อถือในเวทีสากลมากกว่า

จากประเด็นที่วิทยากรทั้งสามท่านนำเสนอ สามารถสรุปแนวทางปฏิบัติเพื่อรับมือข่าวลวงได้ดังนี้:

1. ตั้งสติก่อนแชร์ : ประชาชนควรรอตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล โดยเฉพาะในสถานการณ์ความขัดแย้งที่มีอารมณ์ชาตินิยมเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือของการปลุกปั่น

2. ใช้เครื่องมือตรวจสอบ: ใช้ Google Lens หรือเครื่องมือดิจิทัลอื่นๆ เพื่อตรวจสอบแหล่งที่มาของภาพและคลิป โดยเฉพาะเมื่อมีแคปชั่นที่อาจบิดเบือนความจริง

3. ยึดข้อเท็จจริง : สื่อมวลชนต้องรายงานตามคำให้การของแหล่งข่าวอย่างตรงไปตรงมา และระบุชัดเจนหากข้อมูลยังไม่ได้รับการยืนยัน เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือ

4. เพิ่มความรอบคอบในการแปล : ในสถานการณ์ระหว่างประเทศ การแปลข้อมูลต้องคำนึงถึงบริบทและความละเอียดอ่อน เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้ง

5. ส่งเสริมเสรีภาพสื่อ : สนับสนุนให้สื่อในภูมิภาคอาเซียนยกระดับความเป็นมืออาชีพและทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในระดับสากล

รายการนี้สะท้อนถึงความท้าทายของข่าวลวงในยุคที่ข้อมูลท่วมท้น โดยเฉพาะในบริบทความขัดแย้งไทย-กัมพูชา วิทยากรทั้งสามเน้นย้ำว่า สื่อมวลชนและประชาชนต้องร่วมกันตั้งสติ ตรวจสอบข้อเท็จจริง และใช้เครื่องมือดิจิทัลให้เกิดประโยชน์ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของข่าวลวงที่อาจนำไปสู่ความเกลียดชังและความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้น พร้อมทั้งเรียกร้องให้รักษาเสรีภาพสื่อและเพิ่มความรับผิดชอบในการรายงาน เพื่อให้สังคมยึดมั่นในข้อเท็จจริงและลดผลกระทบจากข้อมูลบิดเบือน

Related Post