เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2568 รายการ “โคแฟคสนทนารวมพลคนเช็กข่าว EP.15” เปิดวงสนทนาถกเถียงกรณีร้อนที่สังคมให้ความสนใจอย่างมาก หลังครูในจังหวัดสุรินทร์เผยแพร่คลิปผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เป็นภาพเด็กชายอายุ 13 ปี สวมชุดลูกเสือถูกตำรวจนำตัวไปสถานีตำรวจ โดยครูเล่าว่าหลังเคารพธงชาติ มีเจ้าหน้าที่เข้ามาจับกุมในข้อหาเป็นคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งที่เด็กอยู่เมืองไทยตั้งแต่เล็ก ไม่เคยกลับกัมพูชา และไม่สามารถพูดภาษากัมพูชาได้
กรณีดังกล่าวสร้างแรงกระเพื่อมในสังคมอย่างกว้างขวาง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติออกแถลงการณ์ชี้ว่าการจับกุมเด็กดังกล่าวอาจขัดต่อ สิทธิเด็กและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ก่อนจะมีการช่วยเหลือให้เด็กไปพักอยู่ที่บ้านพักเด็กและครอบครัว ขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดการถกเถียงว่าการส่งเด็กกลับประเทศต้นทางนั้น “ถูกหรือผิดตามกฎหมาย”
สุภิญญากลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT เปิดประเด็นว่า เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เพียงเรื่องบุคคลหนึ่ง แต่สะท้อนปัญหากว้างขวางจากความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึง “สงครามข้อมูลข่าวสาร” ที่ทวีความรุนแรงในโลกออนไลน์ เธอย้ำว่าสังคมควรใจเย็นและตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะการด่วนตัดสินว่า “ผิดกฎหมายต้องจับ” หรือ “เป็นเด็กต้องช่วยไว้” ล้วนเป็นมุมมองที่ต้องชั่งน้ำหนักกับหลักสิทธิมนุษยชน โดยหลักการสากล “เด็กถือเป็นพลเมืองของโลก” ไม่อาจโยนภาระทั้งหมดให้กับความเป็นสัญชาติของเด็กเพียงอย่างเดียว
วุฒิชัยพุ่มสงวน อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวในรายการว่า ต้องพิจารณาทั้งกฎหมายภายในและพันธกรณีระหว่างประเทศของไทย โดยในประเทศ แม้เด็กจะไม่มีสัญชาติไทย แต่รัฐธรรมนูญและกฎหมายด้านการศึกษากำหนดสิทธิขั้นพื้นฐานที่เด็กทุกคนสามารถเข้าถึงการศึกษาได้ ส่วนด้านสิทธิมนุษยชน ไทยได้ให้สัตยาบันอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) ซึ่งมีผลผูกพันต่อการปฏิบัติราชการ หากเจ้าหน้าที่ใช้เพียงข้อกฎหมายคนเข้าเมืองโดยไม่คำนึงถึงพันธกรณีอื่น ก็อาจถูกมองว่า “ละเมิดสิทธิเด็ก” ได้
สัญญาทิพบำรุง ตัวแทนเครือข่ายครอบครัวยิ้ม จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ กล่าวว่า ชุมชนท้องถิ่นเห็นปัญหานี้บ่อย โดยเฉพาะเด็กจากกัมพูชาที่เติบโตในไทย เรียนในโรงเรียนไทย แต่เมื่อเกิดกรณีทางกฎหมาย กลับถูกมองว่าเป็น “คนต่างด้าวผิดกฎหมาย” ทั้งที่ชีวิตจริงพวกเขาไม่รู้จักประเทศต้นทางเลย
สุชัยเจริญมุขยนันท ผู้ดำเนินรายการ สรุปการสนทนาว่า ประเด็นนี้เป็นทั้งเรื่องกฎหมายและสิทธิมนุษยชนที่สังคมไทยต้องเรียนรู้ร่วมกัน เหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนความซับซ้อนของกฎหมายคนเข้าเมือง สิทธิในการศึกษา และพันธกรณีระหว่างประเทศที่ไทยต้องปฏิบัติ การคลี่คลายต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงและหลักการคุ้มครองสิทธิเด็ก ไม่ใช่เพียงการตีความตัวบทกฎหมายแคบ ๆ