โคแฟคสนทนา : รวมพลคนเช็กข่าว EP.20 เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2568 ได้เปิดวงสนทนาในประเด็น “DEEP FAKE ปลอมตัวตนหลอกประชาชน“ โดยมี คุณสุชัย เจริญมุขยนันท เป็นผู้ดำเนินรายการ ร่วมด้วย คุณสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT และคุณสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส พร้อมด้วยคนเช็กข่าว สหโชค เพียรการ (ชาร์ป)
ยุคปัจจุบันเป็นยุคที่ต่อมการตรวจสอบความน่าเชื่อถือต้องทำงานหนัก เพราะภาพและเสียงที่เราคุ้นเคยอาจไม่ใช่ตัวจริงอีกต่อไป เนื่องจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะ Deep Fake ที่เกิดจาก AI (ปัญญาประดิษฐ์) สามารถปลอมแปลงได้อย่างแนบเนียน จนกลายเป็นเครื่องมือหลอกลวงของมิจฉาชีพ ซึ่งกระทบไปถึงดารานักร้อง อินฟลูเอนเซอร์ และแม้แต่สื่อมวลชนอาวุโสที่คนรู้จักกันทั้งประเทศก็ถูกปลอมตัวเช่นกัน
คุณสุภิญญา กลางณรงค์ กล่าวถึงความรวดเร็วของ AI ที่เข้ามาในชีวิตและการทำงานเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก แม้จะมีงานวิจัยว่ามนุษย์จะต้องใช้เวลาเป็นทศวรรษในการปรับตัวกับ AI แต่เพียงปี 2568 (2025) ก็รู้สึกว่า AI ได้เข้ามาเร็วมากแล้ว ปัญหาเฉพาะหน้าที่กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันคือมิติทางด้าน “เศรษฐกิจ“ เนื่องจากทรัพย์สินอาจสูญหายเพราะการหลอกลวงโดยใช้ Deep Fake
คุณสุทธิชัย หยุ่น ได้เล่าถึงประสบการณ์ที่ตนเองตกเป็นเหยื่อของการปลอมแปลงตัวตน Deep Fake หลายรูปแบบ เริ่มตั้งแต่มีเพื่อนไม่กล้าถามตรงๆ ว่าข่าวปลอมที่ระบุว่าตนเอง “ตายแล้ว“ เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ไปจนถึงคลิปปลอมที่ดังที่สุดคือ บทสัมภาษณ์กับผู้ว่าแบงก์ชาติ ที่มีการชักชวนให้ลงทุน นอกจากนี้ยังมีโฆษณาขายยาแก้ความดัน, ข่าวปลอมว่าถูกจับ, และรูปที่ถูกชกตาบวม มิจฉาชีพจะใช้วิธีตัดต่อเอาคลิปสัมภาษณ์จริงไปใส่ประโยคที่ต้องการหลอกคน
ผลกระทบส่วนใหญ่ตกอยู่กับผู้ที่หลงเชื่อ โดยเฉพาะ “ผู้ใหญ่“ หรือกลุ่ม “เบบี้บูมเมอร์“ ที่อยู่กับมือถือบ่อยและเห็นรูปแล้วเชื่อตามนั้นทันที คุณสุทธิชัยเล่าว่าเพื่อนที่เป็นนักธุรกิจมีสถานะก็ยังหลงเชื่อสั่งซื้อยาแก้ความดันปลอมไป 900 กว่าบาท ปัญหาใหญ่คือเมื่อเสียเงินไปแล้วมักจะไม่กล้าบอกใครเพราะกลัวเสียหน้า ทำให้มิจฉาชีพได้ประโยชน์ คุณสุทธิชัยจึงต้องใช้รายการของตนเองแจ้งเตือนสาธารณะว่าตนเอง “ไม่ขายของ“ และ “ไม่รับจ้างแบรนด์ไหน“
จากการสอบถามไปยังตำรวจไซเบอร์กรณีของคุณสุทธิชัย สรุปได้ว่า มิจฉาชีพมีเป้าหมายคือต้องการให้คนคลิกเข้าไปดูให้มากที่สุด เพื่อนำเพจนั้นไปขายต่อ หรือไม่ก็เป็นการหลอกขายของ ส่วนกรณีหลอกให้ลงทุนก็จะมีเป้าหมายให้โอนเงินเข้าไป ซึ่งเกิดขึ้นกับนักธุรกิจใหญ่หลายคน อย่างไรก็ตาม ตำรวจไซเบอร์ระบุว่ามีเคสลักษณะนี้เยอะมากและไม่สามารถจับกุมผู้กระทำผิดในกรณีของคุณสุทธิชัยได้
ในมุมมองของสื่อมวลชน คุณสุทธิชัยเห็นว่า AI เป็นสิ่งที่มาแรงและมาเร็ว แม้แต่การโคลนเสียงก็ทำได้เหมือนมาก สิ่งสำคัญคือการ “รู้เท่าทัน“ และ “ตรวจสอบต้นทาง“ ความน่าเชื่อถือ สื่อมวลชนต้อง “เอา ‘น้ำดี‘ เข้าไปล้าง ‘น้ำเน่า‘” ด้วยการทำคอนเทนต์ที่สามารถตรวจสอบสิ่งที่ผิดได้
วิทยากรต่างเห็นพ้องว่าปัญหา Deep Fake เป็นเรื่องที่เกินกว่าปัจเจกชนจะรับมือได้ทัน จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน:
มาตรการจากแพลตฟอร์ม: คุณสุภิญญาเสนอว่าเมื่อมีการร้องเรียนหรือแจ้งไปที่แพลตฟอร์ม (เช่น Facebook, TikTok) ควรมีปฏิบัติการทันที เช่น การแบน หรืออย่างน้อยที่สุดคือ “ขึ้นเตือน (Flag)” ตัวเบ้งๆ ให้ประชาชนเห็นว่าคลิปนั้นถูกตรวจสอบแล้วว่าเป็น Deep Fake และควรมีการคุยกันระหว่างแพลตฟอร์มเพื่อร่วมกันจัดการ
บทบาทภาครัฐและสังคม: รัฐบาลควรมีมาตรการเจรจาหรือกดดันแพลตฟอร์มต่างชาติโดยเอาเรื่องการ “คุ้มครองประโยชน์สาธารณะ“ เป็นตัวตั้ง ต้องมีการจัดกระบวนการตั้งแต่นโยบาย และตั้งวงทำงานร่วมกันระหว่างรัฐบาล เอกชน เพื่อจัดหลักสูตรการศึกษา การฝึกอาชีพ
การศึกษาและภูมิคุ้มกัน :
- เริ่มสอนตั้งแต่วัยเด็ก ให้รู้จักการแยกแยะสิ่งที่จริงและปลอม ต้องเตือนเด็กๆ ว่าเจอหน้าเหมือนพ่อแม่ เสียงคล้ายกัน อย่าเพิ่งเชื่อ! และ “เช็คก่อน“
- สำหรับคนทุกวัย โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ (เบบี้บูมเมอร์) ที่เป็นเหยื่อเยอะ ควรใช้ “Community Support” หรือ “ครอบครัวสนับสนุน“ ในการช่วยกันตรวจสอบ
ข้อแนะนำสำหรับทุกบ้านที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ทันที :
- ตั้ง “รหัสประจำบ้าน” (Passcode): หากมีเสียงคล้ายคนในครอบครัวโทรมาขอความช่วยเหลือหรือโอนเงินให้ตั้งคำถามที่เป็น “รหัสลับ” ที่รู้กันเฉพาะคนในบ้านเพื่อใช้ยืนยันตัวตนก่อนวิธีนี้จะช่วยให้เกิดความตื่นตัวและฝึกนิสัยให้คิดวิเคราะห์ (Critical Thinking) ก่อนเชื่อ
- หลักการของ COFACT: สโลแกนสำคัญในการรับมือกับข้อมูลข่าวสารปลอมในยุคนี้คือ “อย่าเพิ่งเชื่ออย่าเพิ่งแชร์อย่าเพิ่งโอน” เพราะการโอนเงินไปแล้วยากที่จะได้กลับคืนมา