ข่าวด่วน
Fri. Oct 17th, 2025
14ตุลา

เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 รายการ “โคแฟคสนทนา รวมพลคนเช็กข่าว EP.21″ โดยโคแฟค (COFACT) จัดเสวนาออนไลน์ในโอกาสครบรอบ 52 ปีเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เพื่อทบทวนบทเรียนการตรวจสอบข้อมูลจากอดีตถึงปัจจุบัน วิทยากรประกอบด้วย นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT และนายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ อดีตสมาชิกวุฒิสภาและอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ดำเนินรายการโดยนายสุชัย เจริญมุขยนันท โดยมุ่งหารือถึงความเปลี่ยนแปลงของการสื่อสารและการรับมือข้อมูลข่าวสารในยุคที่เทคโนโลยีและความขัดแย้งทั้งในและนอกประเทศทวีความซับซ้อน

นายแพทย์นิรันดร์ กล่าวถึงความท้าทายของสื่อในยุคปัจจุบัน โดยระบุว่าสังคมไทยเผชิญปัญหาข้อมูลเท็จและการบิดเบือน (Fake News) รวมถึงอิทธิพลของอินฟลูเอนเซอร์ที่ทำให้การรับรู้ความจริงเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่ต้อง “รู้เท่าทัน” ด้วย เขาย้ำว่าสังคมไทยยังติดอยู่ในวังวนของความขัดแย้งที่เกิดจากความแตกต่างทางความคิด ซึ่งมักถูกมองเป็น “ศัตรู” แทนที่จะยอมรับความหลากหลาย 

โดยยกตัวอย่างเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่ความรุนแรงเกิดจากทัศนคติที่มองฝ่ายตรงข้ามเป็นภัย ผสมผสานกับลัทธิชาตินิยมสุดโต่ง ซึ่งยังคงปรากฏในปัจจุบันผ่านความรุนแรงเชิงโครงสร้างและวัฒนธรรม

“52 ปีที่ผ่านมา เราเห็นความเปลี่ยนแปลงมาก แต่สังคมไทยยังไม่เปลี่ยนผ่าน 

สื่อโซเชียล ถูกใช้ขยายความเกลียดชัง แทนที่จะสร้างความเข้าใจในความหลากหลาย” นายแพทย์นิรันดร์กล่าว พร้อมชี้ว่าปัญหาความขัดแย้งไทย-กัมพูชาในปัจจุบัน เช่น กรณี MOU 43-44 หรือประเด็นชายแดน ถูกขับเคลื่อนด้วยชาตินิยมที่ไม่ต่างจากอดีต โดยเฉพาะเมื่อสื่อบางส่วนนำเสนอข้อมูลที่บิดเบือนประวัติศาสตร์ เช่น เรื่องพญาละแวก หรือการมองฝ่ายตรงข้ามว่า “ช่วงชิง” ผลประโยชน์ ซึ่งทำให้เกิดความเกลียดชังโดยไม่จำเป็น

นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ เสริมว่า ปัญหาข้อมูลข่าวสารในปัจจุบันรุนแรงขึ้นจากความเร็วของสื่อโซเชียลที่ผสมผสานข้อเท็จจริงและความคิดเห็น จนกลายเป็น “วาทกรรม” ที่ครอบงำสังคม เธอตั้งคำถามว่าเหตุใดการวิพากษ์วิจารณ์กัมพูชาจึงไม่มุ่งไปที่การตรวจสอบผู้มีอำนาจ เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือเครือข่ายสแกมเมอร์ที่เชื่อมโยงกับนักการเมือง แทนที่จะโจมตีประชาชนทั่วไป ซึ่งทำให้เกิดความเกลียดชังโดยไม่ก่อผลดี เธอยังชี้ถึงภาวะ “Information Fatigue” หรือความเหนื่อยล้าจากข้อมูล ที่ทำให้คนถอนตัวจากการถกเถียงด้วยเหตุผล และถูกครอบงำด้วยอารมณ์หรือความกลัวจากการถูกโจมตีในโลกออนไลน์

“เราต้องกลับมาอยู่กับข้อเท็จจริง ไม่ใช่จินตนาการหรืออารมณ์ ดังที่ มาริซา นักข่าวชาวฟิลิปปินส์ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพกล่าวว่า ‘Facts over Fiction’ ความรุนแรงในโลกออนไลน์กำลังกลายเป็นความรุนแรงในชีวิตจริง ซึ่งน่ากลัวมาก” สุภิญญากล่าว พร้อมเรียกร้องให้สื่อและประชาชนช่วยกันสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการถกเถียงอย่างมีเหตุผล โดยไม่ปล่อยให้ความกลัวหรือการเซ็นเซอร์ตัวเองปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น

ทั้งสองวิทยากรเห็นพ้องว่าสื่อมีบทบาทสำคัญในการคลายความขัดแย้ง โดยต้องนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องและส่งเสริมความเข้าใจในประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อนของไทยและเพื่อนบ้าน รวมถึงส่งเสริมการยอมรับความหลากหลายในสังคม นายแพทย์นิรันดร์เสนอให้มีการรื้อฟื้นจิตสำนึกทางสังคมผ่านการศึกษาและการนำเสนอข้อมูลที่เท่าทันกระแสโซเชียล เพื่อป้องกันการกลับไปสู่ความรุนแรงแบบ 6 ตุลาคม 

ส่วนสุภิญญาเน้นย้ำถึงความหวังในการสร้างพลังประชาชนผ่านการถกเถียงอย่างสร้างสรรค์ โดยไม่จำเป็นต้องลงถนน แต่ต้องใช้สื่อเป็นเครื่องมือขับเคลื่อน

การเสวนาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าสังคมไทยยังเผชิญความท้าทายจากความขัดแย้งที่รากลึกทั้งในระดับภายในและระหว่างประเทศ สื่อและประชาชนต้องร่วมกันตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ มุ่งเน้นข้อเท็จจริงมากกว่าอารมณ์ สร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการถกเถียง และส่งเสริมการยอมรับความหลากหลาย เพื่อป้องกันการย้อนรอยความรุนแรงในอดีต ทุกคนสามารถเริ่มต้นได้ด้วยการตรวจสอบแหล่งข้อมูลก่อนแชร์ วิพากษ์วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ และสนับสนุนการนำเสนอข้อมูลที่เป็นกลางเพื่อลดความเกลียดชังและสร้างสังคมที่อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ

Related Post