นายธนโชติ รัตนโกเศศ ได้มาเล่าประสบการณ์ตรงในฐานะครอบครัวผู้ประสบภัยไซเบอร์ ผ่านรายการ “เตือนภัย Cyber” เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 เพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนใจสังคม หลังจากคุณพ่อวัย 73 ปี ซึ่งเป็นข้าราชการเกษียณ ถูกมิจฉาชีพหลอกลวงจนสูญเสียเงินเก็บจำนวน 7 หลัก
นายธนโชติเล่าว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2567 โดยมิจฉาชีพไม่ได้โทรหาคุณพ่อโดยตรง แต่โทรเข้าเบอร์โทรศัพท์ของคุณป้า (พี่สาวของคุณพ่อ) ซึ่งคุณพ่อเป็นผู้รับสาย
เปิดขั้นตอนกลลวง “แก๊งคุ้มครองบำนาญ“
นายธนโชติได้แจกแจงวิธีการของมิจฉาชีพอย่างละเอียด ซึ่งอาศัยความน่าเชื่อถือและจิตวิทยาในการหลอกลวง ดังนี้:
- สร้างเรื่องหลอกลวง (The Ruse): ปลายสายอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จาก “โครงการดูแลคุ้มครองผู้เกษียณ” โดยระบุว่าติดต่อมาเพื่อ “คุ้มครองบัญชีเงินฝากเงินบำนาญ” และอ้างชื่อหน่วยงานที่น่าเชื่อถืออย่าง “กรมบัญชีกลาง”
- สร้างความน่าเชื่อถือ (Building Trust): มิจฉาชีพใช้เวลาพูดคุยนานนับชั่วโมง เป็นคนไทย และมีการสร้างบรรยากาศพื้นหลังให้เหมือนอยู่ในสำนักงานจริงๆ (มีเสียงคนอื่นพูดคุยแทรก) เพื่อให้เหยื่อตายใจ
- ล่อลวงด้วยสิทธิประโยชน์: อ้างว่าจะได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ และเน้นย้ำเรื่องความปลอดภัยของเงินในบัญชี
- ส่งเหยื่อเข้าสู่กับดัก (The Trap): มิจฉาชีพขอแอด Line เพื่อส่งลิงก์ที่อ้างว่าเป็นของหน่วยงาน ลิงก์ดังกล่าว ถูกสร้างให้ดูน่าเชื่อถือ โดยมี “https” ซึ่งคนทั่วไปเข้าใจว่าปลอดภัย
- เว็บไซต์ปลอมที่แนบเนียน: เมื่อคลิกเข้าไป หน้าเว็บไชต์ถูกออกแบบมาให้เหมือนของหน่วยงานราชการจริง มีทั้งรูปครุฑและโลโก้กรมบัญชีกลาง
- หลอกเอาข้อมูลสำคัญ (Data Theft): มิจฉาชีพหลอกให้กรอกข้อมูลส่วนบุคคล และที่สำคัญที่สุดคือ หลอกให้ตั้งรหัสผ่านใหม่ 2-3 ครั้ง คุณพ่อของคุณธนโชติพลาดที่ไปตั้งรหัสผ่าน “ชุดเดียวกับ” รหัสที่ใช้เข้าแอปธนาคาร
- กับดักซ้อนเมื่อเหยื่อรู้ตัว (The “Cancel” Trap): เมื่อคุณพ่อเริ่มเอะใจว่าถูกถามข้อมูลเยอะเกินไป และขอยกเลิก (“ผมไม่สะดวกเนาะ ไม่ทำ”) มิจฉาชีพกลับตอบรับอย่างใจเย็น และโอนสายให้ “น้องอีกคน” เพื่ออ้างว่า “จะพาออกจากระบบ”
- ขั้นตอนสุดท้าย (The Final Scan): “น้องอีกคน” ที่รับสายต่อ ได้หลอกให้คุณพ่อทำการ “สแกนใบหน้า” โดยอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยกเลิก
นายธนโชติระบุว่า คุณพ่อของเขา “ไม่ได้โอนเงินเองเลย” แต่การสแกนใบหน้าครั้งนั้น คือการอนุญาตให้มิจฉาชีพ (ซึ่งได้รหัสผ่านไปแล้ว) เข้าถึงแอปธนาคาร โจรสามารถเห็นทุกบัญชี และเลือกโอนเงินจากบัญชีที่มีเงินมากที่สุดจนเหลือเพียงเศษสตางค์
ความน่ากลัวของขบวนการ: นายธนโชติเผยว่า เงินถูกโอนออกไปอย่างรวดเร็วมาก มิจฉาชีพโอนเงินต่อไปยังบัญชีม้าอื่นๆ 4-5 ทอด ภายในเวลาไม่กี่วินาที ทำให้การอายัดบัญชีปลายทาง (ซึ่งเป็นบัญชีม้าพร้อมเพย์) ไม่สามารถทำได้ทันท่วงที
ภัยซ้ำซ้อน: เกือบโดน “เพจปลอม” หลอกซ้ำ
หลังจากเกิดเหตุ นายธนโชติได้พยายามค้นหาข้อมูลใน Google ด้วยคีย์เวิร์ด เช่น “โดนหลอกโอนเงิน” ทำให้ Facebook ยิงโฆษณา (ยิงแอด) ที่เกี่ยวข้องมาหาเขาทันที
- เพจปลอมระบาด: พบเพจปลอมที่อ้างเป็นหน่วยงานช่วยเหลือต่างๆ เช่น “หน่วยงานช่วยเหลือเยียวยามิจฉาชีพออนไลน์” หรือใช้รูปผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)
- สร้างความน่าเชื่อถือสูง: เพจเหล่านี้มีผู้ติดตามสูงถึง 2.3 แสนคน และมี “หน้าม้า” เข้ามาคอมเมนต์ขอบคุณจำนวนมากว่าได้รับความช่วยเหลือจริง
- เกือบพลาดส่งข้อมูล: นายธนโชติเกือบหลงเชื่อและได้ส่ง “บันทึกประจำวัน” ซึ่งมีข้อมูลส่วนบุคคลทั้งหมดไปให้เพจปลอม ก่อนจะเอะใจและบล็อกไปทันที
- ข้อสังเกต (จากคอมเมนต์ผู้ชม): วิธีตรวจสอบเพจปลอมคือ ให้เข้าไปที่เมนู “เกี่ยวกับ” และดู “ความโปร่งใสของเพจ” หากพบว่าเพจเพิ่งเปลี่ยนชื่อ (เช่น เคยเป็นเพจขายของมาก่อน) ให้สันนิษฐานว่าเป็นเพจปลอม
วิธีป้องกันโจรไซเบอร์
นายธนโชติและผู้ดำเนินรายการได้ให้ข้อแนะนำในการป้องกันตัวเองและครอบครัว ดังนี้:
- มีสติ: นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด หากสงสัยให้ “วางสายเลยดีที่สุด” อย่าเกรงใจหรือกลัว
- อัปเดตข่าวสาร: ติดตามข่าวสารกลโกงใหม่ๆ จากเพจทางการที่เชื่อถือได้ เช่น ตำรวจไซเบอร์ หรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
- กฎเหล็ก: หน่วยงานราชการไม่มีนโยบายติดต่อประชาชนทางไลน์หรือส่งลิงก์ เพื่อให้ทำธุรกรรมทางการเงินใดๆ ทั้งสิ้น
- ห้ามคลิกลิงก์: อย่าคลิกลิงก์แปลกปลอมที่ส่งมาทาง SMS หรือช่องทางโซเชียลต่างๆ
- รหัสผ่าน: ห้ามใช้รหัสผ่านซ้ำกัน โดยเฉพาะรหัสแอปธนาคาร
- ดูแลผู้สูงอายุ: ลูกหลานต้องให้ความรู้และพูดคุยกับผู้สูงอายุที่บ้านบ่อยๆ ช่วยดูแลบัญชีธนาคาร หรือจำกัดวงเงินในแอปพลิเคชัน (ปัจจุบัน คุณพ่อของคุณธนโชติเลิกใช้แอปธนาคารและกลับไปถอนเงินที่ตู้หรือเคาน์เตอร์แทน)
- ปกป้องข้อมูลส่วนตัว: อย่าโพสต์ข้อมูลสำคัญ เช่น เลขบัตรประชาชน หรือเบอร์โทรศัพท์ ลงในที่สาธารณะ
นายธนโชติทิ้งท้ายว่า เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดกับคนโง่ แต่เกิดจากมิจฉาชีพใช้จิตวิทยาและความโลภหรือความกลัวของเรา และย้ำว่า “ทุกคนมีโอกาส” โดนหลอก จึงหวังว่าเรื่องราวของครอบครัวเขาจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม

