Customize Consent Preferences

UbonConnect (ต่อไปนี้จะเรียกว่า ‘ทีมงาน/เรา’) เป็นผู้ให้บริการเว็บไซต์ https://www.ubonconnect.com รวมไปถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ และช่องทางโซเชียลมีเดียอื่นๆ ในเครือ บริษัทขอเรียนว่า บริษัทเคารพความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน และตระหนักดีว่าข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งานแต่ละท่านมีความสำคัญอย่างยิ่ง บริษัทจึงต้องการที่จะชี้แจงให้ทราบเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน... 

Always Active

Necessary cookies are required to enable the basic features of this site, such as providing secure log-in or adjusting your consent preferences. These cookies do not store any personally identifiable data.

No cookies to display.

Functional cookies help perform certain functionalities like sharing the content of the website on social media platforms, collecting feedback, and other third-party features.

No cookies to display.

Analytical cookies are used to understand how visitors interact with the website. These cookies help provide information on metrics such as the number of visitors, bounce rate, traffic source, etc.

No cookies to display.

Performance cookies are used to understand and analyze the key performance indexes of the website which helps in delivering a better user experience for the visitors.

No cookies to display.

Advertisement cookies are used to provide visitors with customized advertisements based on the pages you visited previously and to analyze the effectiveness of the ad campaigns.

No cookies to display.

ข่าวด่วน
Sat. Jul 26th, 2025
เขื่อนแม่น้ำโขง

อ่านให้ฟัง จาก สุชัย Ai โดย botnoi

วงเสวนาวันหยุดเขื่อนโลก เปิดปมน้ำท่วม เขื่อนใหม่ และทางออกที่ท้าทายของอุบลราชธานี

ประเด็นสำคัญ:

  • น้ำท่วมอุบล: ปัจจัยน้ำท่วมไม่ได้เกิดจากธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการจัดการผังเมืองที่ผิดพลาดและการสร้างเขื่อนที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน้ำ
  • เขื่อนใหม่: โครงการเขื่อนใหม่บนแม่น้ำโขง เช่น เขื่อนภูงอย อาจนำไปสู่น้ำท่วมถาวรในบางพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตชุมชน
  • ค่าไฟแพง: การสร้างเขื่อนใหม่เชื่อมโยงกับผลประโยชน์ทางการเมืองและกลุ่มทุน ซึ่งอาจไม่ช่วยลดค่าไฟ แต่เพิ่มภาระให้ประชาชน
  • การจัดการน้ำท่วม: การจัดการน้ำท่วมในอดีตยังขาดการบูรณาการระหว่างภาครัฐ ชุมชน และนักวิชาการ รวมถึงการแจ้งเตือนที่ไม่แม่นยำ
  • ทางออกที่ยั่งยืน: ชาวบ้านเรียกร้องการอยู่ร่วมกับน้ำได้ โดยไม่ต้องย้ายถิ่นฐาน และการพัฒนาระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการใช้เทคโนโลยี เช่น Google Maps และแอปพลิเคชัน

1. สันติชัย อาภรณ์ศรี (ผู้ประสานงาน JustPow):

  • เปิดวงเสวนาโดยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของวันหยุดเขื่อนโลก (14 มีนาคม) ซึ่งเป็นโอกาสในการทบทวนผลกระทบจากการพัฒนาเขื่อนทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย
  • ระบุว่าเขื่อนใหม่ เช่น เขื่อนภูงอย บนแม่น้ำโขง อาจส่งผลกระทบต่อทิศทางการไหลของน้ำในจังหวัดอุบลราชธานี แม้จะไม่ได้ตั้งอยู่บนแม่น้ำมูลโดยตรง
  • เน้นย้ำปัญหาการจัดการน้ำท่วมที่เกิดขึ้นทุกฤดูน้ำหลาก เช่น การตัดสินใจเปิด-ปิดประตูเขื่อนปากมูล ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องหารือทุกปี
  • ชี้ว่าเขื่อนใหม่ไม่เพียงแต่เพิ่มความเสี่ยงน้ำท่วม แต่ยังอาจทำให้ค่าไฟสูงขึ้น และตั้งคำถามถึงความจำเป็นของเขื่อนใหม่ในอนาคต
  • เสนอให้มีการรวมพลังระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อหาทางออกที่ยั่งยืน และยกตัวอย่างเขื่อนปากมูลและเขื่อนสิรินธรที่สร้างผลกระทบต่อชุมชนโดยยังไม่ได้รับการแก้ไข

2. สุรสม กฤษณะจูฑะ อาจารย์ประจำหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชานวัตกรรมการพัฒนาสังคม คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี :

  • อธิบายว่าปัญหาน้ำท่วมในอุบลราชธานีไม่ได้เกิดจากธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงปัจจัยจากมนุษย์ เช่น การจัดการผังเมืองที่ไม่เหมาะสม การถมที่ดิน และการเปลี่ยนแปลงเส้นทางน้ำ
  • ชี้ว่าในอดีตน้ำท่วมเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต เช่น การค้าขายในตลาดน้ำ แต่ปัจจุบันกลายเป็นภัยพิบัติที่สร้างความเสียหายหนัก เนื่องจากการจัดการที่ผิดพลาด
  • ระบุว่าการเยียวยาหลังน้ำท่วมยังไม่เพียงพอ โดยยกตัวอย่างงานวิจัยที่พบว่า ความเสียหายต่อครัวเรือนจากการท่วมหนึ่งครั้งสูงถึงหลักหมื่นบาท แต่การชดเชยจากภาครัฐกลับอยู่ในระดับหลักพันบาทเท่านั้น
  • เสนอว่าเขื่อนใหม่ เช่น เขื่อนภูงอย ต้องมีการเปิดเผยข้อมูลผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ที่ชัดเจนและโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้ และตั้งคำถามถึงความจำเป็นของเขื่อนเมื่อเทียบกับทางเลือกอื่น เช่น พลังงานหมุนเวียน
  • เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนมุมมองจาก “การป้องกันน้ำท่วม” เป็น “การอยู่ร่วมกับน้ำ” และให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่ยั่งยืน

3. จารุณี อนุพันธ์ อาจารย์ประจำสาขาภาษาอังกฤษ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี และทีม #Saveubon :

  • เล่าประสบการณ์จากการจัดการน้ำท่วมในปี 2562 และ 2565 ซึ่งพบว่าการจัดการขาดความเป็นระบบ ไม่มีการแจ้งเตือนที่แม่นยำ และการคาดการณ์ระดับน้ำผิดพลาด ส่งผลให้ประชาชนเตรียมตัวไม่ทัน
  • ระบุว่าในปี 2562 ทีม #Saveubon ใช้ Google Maps ในการปักหมุดจุดน้ำท่วม จุดพักพิง และจุดช่วยเหลือ ซึ่งช่วยลดความสูญเสียได้ แต่ทีมงานมีจำกัดและขาดการสนับสนุนจากภาครัฐ
  • เสนอให้มีการพัฒนาระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ เช่น การใช้ SMS แจ้งเตือนภัยพิบัติ และการบูรณาการข้อมูลจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น กรมชลประทาน และกรมทางหลวง เพื่อให้ข้อมูลปักหมุดแม่นยำยิ่งขึ้น
  • เน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมจากชุมชนและเยาวชนในการปักหมุดและส่งข้อมูล โดยยกตัวอย่างญี่ปุ่นที่ฝึกเด็กให้มีส่วนร่วมในการรายงานภัยพิบัติ
  • แสดงความกังวลต่อโครงการเขื่อนใหม่ เช่น เขื่อนภูงอย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทั้งเมือง ไม่ใช่แค่ชุมชนริมน้ำ และตั้งคำถามถึงการตัดสินใจสร้างเขื่อนโดยที่ประชาชนรู้สึกว่า “เลือกไม่ได้”
  • เสนอให้มีการพัฒนาแอปพลิเคชันร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อใช้ในการจัดการน้ำท่วม และให้ข้อมูลที่โปร่งใสก่อนการตัดสินใจสร้างเขื่อน

4. บุญทัน เพ็งธรรม ประธานเครือข่ายอาสาชุมชนป้องกันภัยพิบัติจังหวัดอุบลราชธานี (อชปภ.) :

  • ระบุว่าประชาชนยังคงเผชิญความสูญเสียจากน้ำท่วมเหมือนเดิม แม้จะมีการถอดบทเรียนและวางแผนป้องกันทุกครั้ง เนื่องจากขาดการบูรณาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐและชุมชน
  • ชี้ว่าการแจ้งเตือนจากหน่วยงานรัฐมักไม่ชัดเจนและล่าช้า ส่งผลให้ประชาชนเตรียมตัวไม่ทัน เช่น ในปี 2565 ที่คาดการณ์ว่าน้ำท่วมจะไม่รุนแรง แต่สุดท้ายน้ำท่วมสูงเกินคาด
  • ระบุว่าการเยียวยาหลังน้ำท่วมจากภาครัฐยังล่าช้าและไม่เพียงพอ ทำให้ชาวบ้านต้องแบกรับภาระหนัก เช่น การสูญเสียทรัพย์สินและรายได้
  • เสนอว่าชุมชนมีความเข้มแข็งในการเตรียมพร้อมรับน้ำท่วม เช่น การวางแผนและถ่ายทอดความรู้สู่เยาวชน แต่ขาดการสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น การติดตั้งเครื่องสูบน้ำล่วงหน้า
  • เรียกร้องให้ภาครัฐพัฒนามาตรการที่ช่วยให้ประชาชน “อยู่ร่วมกับน้ำ” ได้ โดยลดความสูญเสีย แทนที่จะมุ่งเน้นเพียงการป้องกันน้ำท่วมหรือการสร้างเขื่อน
  • แสดงความไม่เห็นด้วยกับเขื่อนใหม่ เช่น เขื่อนภูงอย โดยระบุว่าชาวบ้านในวารินชำราบและอุบลราชธานีไม่ต้องการเขื่อนเพิ่มเติม เนื่องจากกลัวผลกระทบต่อวิถีชีวิตและสิ่งแวดล้อม

บทสรุป :
วงเสวนา “คนอุบลเอาบ่? : น้ำท่วม เขื่อนใหม่ ค่าไฟแพง” เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2568 ณ ร้านส่งสาร จ.อุบลราชธานี เน้นย้ำถึงปัญหาการจัดการน้ำท่วมที่ยังไม่ยั่งยืนในจังหวัดอุบลราชธานี และความกังวลต่อโครงการเขื่อนใหม่ เช่น เขื่อนภูงอย บนแม่น้ำโขง ซึ่งอาจนำไปสู่น้ำท่วมถาวรและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมรุนแรง

ผู้ร่วมเสวนาเห็นพ้องว่าปัญหาน้ำท่วมไม่ใช่แค่เรื่องธรรมชาติ แต่เกี่ยวข้องกับการจัดการผังเมือง การเมือง และผลประโยชน์ของกลุ่มทุนที่อาจทำให้ค่าไฟสูงขึ้นโดยไม่จำเป็น ชาวบ้านและนักวิชาการเรียกร้องให้มีการบูรณาการระหว่างภาครัฐ ชุมชน และเยาวชน ในการพัฒนาระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ การใช้เทคโนโลยี เช่น Google Maps และแอปพลิเคชัน รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ที่โปร่งใสก่อนสร้างเขื่อน นอกจากนี้ ยังมีการเสนอให้เปลี่ยนมุมมองจากการป้องกันน้ำท่วมเป็นการอยู่ร่วมกับน้ำอย่างยั่งยืน และให้ความสำคัญกับพลังของคนรุ่นใหม่ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและคุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่น

ภาพ : just pow

Related Post