ข่าวด่วน
Thu. Jun 26th, 2025
border

คุยให้ฟัง จาก Notebook LM

ม.อุบลฯ จัดเสวนาเข้ม “สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา” วิเคราะห์สาเหตุ-ทางออกจากมุมมองคนในพื้นที่

เมื่อวันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน 2568 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ร่วมกับกลุ่มท้องถิ่นศึกษา จัดเสวนาวิชาการหัวข้อ “สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา: วิเคราะห์สาเหตุและทางออกจากมุมมองในพื้นที่” ณ ห้อง POL 301 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ตั้งแต่เวลา 13.00–16.00 น. โดยมี ดร.ศิรินท์ภทรา สถาพรวงศ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ เป็นผู้ดำเนินรายการ และ

การเสวนาครั้งนี้มุ่งวิเคราะห์สาเหตุของความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมนำเสนอทางออกจากมุมมองของนักวิชาการและตัวแทนชุมชนในพื้นที่ โดยมีวิทยากร 3 ท่าน ได้แก่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์อัครพงษ์ ค่ำคูณ จากวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, คุณเฉลิมชัย ประพันธา ผู้นำชุมชนจากอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี และ ดร.ธนเชษฐ วิสัยจร หัวหน้าสาขาวิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

มองสาเหตุความขัดแย้ง: มรดกอาณานิคมและการเมืองโซเชียลมีเดีย

ผศ.อัครพงษ์ ค่ำคูณ เริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามถึงสาเหตุของความขัดแย้ง โดยชี้ว่าปัญหามีรากฐานจากประวัติศาสตร์และการกำหนดเขตแดนในยุคอาณานิคมตามสนธิสัญญา 1904 และ 1907 ซึ่งใช้หลักสันปันน้ำในการปักปันเขตแดน ส่งผลให้เกิดความคลาดเคลื่อนระหว่างแผนที่กับสภาพพื้นที่จริง โดยเฉพาะบริเวณปราสาทพระวิหาร ซึ่งศาลโลกตัดสินในปี 2505 ว่าตั้งอยู่ในเขตอธิปไตยของกัมพูชา “คำพิพากษาศาลโลกระบุชัดว่าปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตอธิปไตยของกัมพูชา แต่ปัญหาคือขอบเขต ‘อาณาเขต’ ที่ศาลพูดถึงนั้นไม่ชัดเจน ทำให้เกิดการตีความใหม่ในปี 2554” ผศ.อัครพงษ์ กล่าว พร้อมยกตัวอย่างกรณีการขุดสนามเพลาะบริเวณเนิน 745 ซึ่งอยู่ห่างจากช่องบก 7-8 กิโลเมตร และการเผาศาลาตรีมุขที่กลายเป็นข่าวใหญ่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เขาวิพากษ์ว่าโซเชียลมีเดียมีบทบาทสำคัญในการขยายความขัดแย้ง “ปัญหาคือเมื่อเกิดเหตุการณ์ เราไม่มีการสอบสวนหรือบริหารจัดการในพื้นที่ให้ดี ไฟจากโซเชียลมีเดียลามเร็วเกินควบคุม ทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่” เขายังตั้งคำถามถึงความไม่สมส่วนของการจัดการปัญหา โดยชี้ว่าพื้นที่พิพาทเพียง 0.13 ตารางกิโลเมตร (ราว 81 ไร่) ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่แก้ไขไม่ได้เมื่อเทียบกับเขตแดนทั้งหมด 798 กิโลเมตรจากช่องบกถึงบ้านหาดเล็ก จังหวัดตราด “ถ้าเพื่อนบ้านรุกเข้ามา 20 เมตรจากเขต 100 เมตร ทำไมเราจะจัดการ 20 เมตรนั้นไม่ได้ โดยไม่ต้องไปกระทบอีก 80 เมตรที่เหลือ?”

ด้าน ดร.ธนเชษฐ วิสัยจร เสริมว่าแนวคิดเรื่องเขตแดนในมุมมองส่วนกลางและท้องถิ่นนั้นแตกต่างกันอย่างมาก “เมื่อเราพูดถึงชายแดนจากส่วนกลาง มันมักเป็นมุมมองของรัฐที่เน้นการออกแบบเขตแดนเพื่อความมั่นคง แต่ในมุมคนท้องถิ่น ชายแดนคือพื้นที่ชีวิตประจำวัน” เขาอธิบายว่า คำว่า “territory” มีรากศัพท์จากภาษาละตินที่หมายถึง “พื้นที่ที่สร้างความหวาดกลัว” ซึ่งสะท้อนแนวคิดของรัฐที่เน้นการควบคุมจากส่วนกลางมากกว่าการรับฟังเสียงท้องถิ่น ดร.ธนเชษฐ เน้นย้ำว่าการจัดการชายแดนควรให้ความสำคัญกับมุมมองของคนในพื้นที่มากขึ้น เพื่อสะท้อนความเป็นจริงของชุมชนที่อยู่ติดชายแดน

คุณเฉลิมชัย ประพันธา ผู้นำชุมชนจากอำเภอน้ำยืน ซึ่งเป็นพื้นที่ใกล้ช่องบกหรือสามเหลี่ยมมรกต นำเสนอมุมมองจากประสบการณ์ตรงในฐานะคนในพื้นที่ “ชายแดนคือชีวิตของเรา เราไม่ได้มองมันเป็นแค่เส้นแบ่ง แต่เป็นพื้นที่ที่เราทำมาหากินร่วมกับเพื่อนบ้านกัมพูชา” เขากล่าวถึงผลกระทบจากความขัดแย้ง เช่น การปิดด่านชายแดนที่กระทบต่อการค้าขายของชาวบ้าน “ตอนที่มีปัญหาเขาปิดด่าน แม่ค้าขายแมงทอดที่เคยขายได้ถึงสามทุ่มก็ขายไม่ได้ ต้องเสียเงินหาที่พักเพิ่ม” คุณเฉลิมชัยเสนอว่า การแก้ปัญหาควรเน้นประโยชน์ร่วมกัน เช่น การส่งเสริมการท่องเที่ยวข้ามพรมแดน “ทำไมไม่ทำสวนสันติภาพ หรือตั้งหม้อชาบูสามประเทศตรงช่องบก? มันจะสร้างมูลค่าให้ทั้งสองฝ่ายมากกว่าการขัดแย้ง”

ทางออก: สันติภาพและการมีส่วนร่วมของท้องถิ่น

ในช่วงถกประเด็นทางออก ผศ.อัครพงษ์ เสนอว่า การแก้ปัญหาควรเริ่มจากการยอมรับข้อจำกัดของสนธิสัญญาและคำพิพากษาศาลโลก พร้อมย้ำว่ารัฐบาลไทยต้องมีจุดยืนชัดเจนว่าไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลกในการแก้ปัญหานี้ “เราต้องมีข้อมูลและเหตุผลสนับสนุน ไม่ใช่แค่ปฏิเสธโดยไม่มีหลักฐาน” เขากล่าว พร้อมเสนอให้มองชายแดนเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจมากกว่าการขัดแย้ง “พื้นที่ 81 ไร่นี้ ถ้าเทียบกับมูลค่าการค้าปีละแสนล้าน มันคุ้มหรือที่จะทะเลาะกัน?” เขายังยกตัวอย่างจากประวัติศาสตร์ฟิลิปปินส์ที่อนุสาวรีย์ของทั้งผู้รุกรานและวีรบุรุษท้องถิ่นตั้งอยู่เคียงข้างกัน เพื่อแสดงให้เห็นว่ามุมมองที่หลากหลายสามารถอยู่ร่วมกันได้

ดร.ธนเชษฐ เห็นด้วยว่าการรวมเสียงของชายแดนในการกำหนดนโยบายเป็นสิ่งสำคัญ “เมืองชายแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีลักษณะเป็นเมืองคู่ขนานที่พึ่งพากันทางเศรษฐกิจ แต่เมื่อเกิดข้อพิพาท เสียงของส่วนกลางมักมีอำนาจเหนือกว่า” เขาเสนอให้มีการวิจัยและเสวนาต่อเนื่องเพื่อสะท้อนมุมมองของชุมชน และสร้างนโยบายที่คำนึงถึงผลกระทบต่อคนท้องถิ่น

คุณเฉลิมชัย เน้นย้ำถึงความสำคัญของการฟังเสียงชายแดน “ถ้าเรารักชาติ ต้องรักประชาชนทุกตารางนิ้วด้วย ไม่ใช่แค่รักแผ่นดิน” เขาเสนอให้มีการพัฒนาพื้นที่ชายแดนให้เป็นเขตเศรษฐกิจ เช่น การท่องเที่ยวหรือการค้าข้ามพรมแดน เพื่อสร้างประโยชน์ร่วมให้ทั้งสองฝ่าย

บทสรุป: สร้างสันติภาพผ่านการรับฟังและความร่วมมือ

การเสวนาครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งมีทั้งมิติทางประวัติศาสตร์ การเมือง และผลกระทบต่อชุมชนท้องถิ่น นักวิชาการและตัวแทนชุมชนต่างเห็นพ้องว่าการแก้ปัญหาควรยึดหลักสันติภาพ โดยให้ความสำคัญกับการรับฟังเสียงของคนในพื้นที่ควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบด้าน โซเชียลมีเดียถูกมองว่าเป็นตัวเร่งให้ความขัดแย้งลุกลาม ดังนั้น การจัดการข้อมูลอย่างรอบคอบและการสร้างความเข้าใจระหว่างรัฐและท้องถิ่นจึงเป็นกุญแจสำคัญ การพัฒนาพื้นที่ชายแดนให้เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ เช่น การท่องเที่ยวหรือการค้าข้ามพรมแดน ถูกเสนอเป็นทางออกที่สร้างสรรค์ เพื่อลดความตึงเครียดและสร้างประโยชน์ให้ทั้งประเทศไทยและกัมพูชา

เวทีนี้ไม่เพียงเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างนักวิชาการและคนในพื้นที่ แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความเข้าใจและความร่วมมือ เพื่อหาทางออกที่ยั่งยืนสำหรับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา โดยคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และกลุ่มท้องถิ่นศึกษาจะเดินหน้าจัดกิจกรรมต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของชายแดนให้เป็นพื้นที่แห่งสันติภาพและความเจริญร่วมกัน

Related Post