อ่านให้ฟังจาก สุชัย Ai โดย Botnoi
ทนายโนบิ พร้อมทีมงานทนายโนบิช่วยด้วย พาเมียหลวงเข้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรม ต้อผู้ว่ารราชการจังหวัดอุบลราชธานี หลังถูกสามีเป็นผู้ใหญ่บ้านแอบสวมเขาคบชู้ซ้อน 3 หลังเรื่องแดงเมียหลวงขอแยกทางกลับถูกทำร้ายทุบตีห้ามไปหาหมอ
เมื่อเวลา 14.00 น.( 21 เม.ยบ.) นายกฤษฎา โลหิตดี หรือทนายโนบิ พร้อมทีมงานทนายโนบิช่วยด้วย พานางเอ๋ นามสมมุติ อายุ 55 ปี ชาวอำเภอกุดข้าวปุ้น เข้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ผ่านศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดอุบลราชธานี นายธนรัตน์ สุภาพันธ์ หัวหน้าสำนักงานจังหวัดอุบลราชธานี และผู้อำนวยการกลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดอุบลราชธานี ที่ห้องประชุมชั้น 1 ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดอุบลราชธานี กรณีถูก ผู้ใหญ่ลี ซึ่งเป็นสามีและผู้ใหญ่บ้านแห่งหนึ่งในตำบลกาบิน อำเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัดอุบลราชธานี พฤติกรรมคบชู้ถึง 3 คน เมื่อตนจับได้และขอแยกทาง กลับถูกผู้ใหญ่ลีใช้อาวุธปืนทำร้ายร่างกาย และไม่ให้ไปโรงพยาบาลรักษาตัว
นางเอ๋ เปิดเผยว่า ตนเองกับผู้ใหญ่ลี ได้รู้จักกันผ่านเพื่อนเมื่อปี 2555 และได้อยู่กินกันแบบสามีภรรยาเรื่อมา และได้มีการจดทะเบียนสมรสเมื่อปี 2566 หลังจากนั้นผู้ใหญ่ลีเริ่มมีความผิดปกติจนกระทั่ง เดือนตุลาคม 2567 ตนพบว่าผู้ใหญ่ลี เริ่มโดยกลับเข้าบ้านดึกทุกวันโดยอ้างว่าไปทำธุระและปฏิบัติหน้าที่ทางราชการบ่อยครั้งประกอบกับมีชาวบ้านบอกว่า ผู้ใหญ่ลี แอบคบกับผู้หญิงในหมู่บ้านอีกคน ตนจึงใช้แอพพิเคชั่นที่ใช้ติดตามจนพบว่าพิกัดมือถือผู้ใหญ่ลีปรากฎอยู่ที่ รีสอร์ทแห่งหนึ่งใน อำเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัดอุบลราชธานี ในช่วงเวลา 11.00 น. จนถึงช่วงประมาณหัวค่ำ
ซึ่งผิดปกติวิสัยของการปฏิบัติหน้าที่ทางราชการ ตนจึงได้สอบถามกับผู้ใหญ่ลี แต่กลับแสดงความไม่พอใจ และทำร้ายร่างกายตนได้รับบาดเจ็บพร้อมทั้งชักปืนขู่ ทำให้ตนต้องพักรักษาตัวอยู่หลายวัน อีกทั้งหลังเกิดเหตุผู้ใหญ่ลีมีพฤติกรรมโมโหร้าย อารมณ์รุนแรง ทำร้ายร่างกาย และใช้อาวุธปืนข่มขู่ตนเป็นประจำ
ต่อมาเมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ในช่วงเตรียมงานสมโภชของวัดในอำเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัดอุบลราชธานี มีชาวบ้านมาบอกกับตนว่า ผู้ใหญ่ลีกับหญิงชู้ได้ควงคู่กันออกไปจากวัด อีกทั้งยังเล่าอีกว่าคนทั้งสอง มีพฤติกรรมเป็นชู้กันมานานแล้ว ซึ่งทุกคนต่างก็พบเห็นคนทั้งสองไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยครั้ง หนำซ้ำยังมีการเลี้ยงดูหญิงชู้เป็นอย่างดี
และจากการสืบหาความจริงตนพบว่าผู้ใหญ่ลีมีเมียน้อยอีก 3 คน เอาเงินของตนที่ขายบ้านได้ไปสร้างบ้านให้เมียน้อย อย่างออกนอกหน้า มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ซึ่งตนเองไม่รู้มาก่อนว่าผู้ใหญ่ลีจะมีพฤติกรรมดังกล่าวโดยทั้งหมดมีหลักฐานคลิปเสียงจากการยอมรับของเมียน้อย ทั้ง 3 คน
ต่อมาประมาณเดือน มิถุนายน 2567 ตนพยายามห้ามปราม ผู้ใหญ่ลีเรื่องชู้สาวจึงมีปากเสียงกัน โดยผู้ใหญ่ลีได้ด่าทอตนและบุตรสาวของตน ด้วยถ้อยคำหยาบคายและทำร้ายร่างกายของตนอีกหลายครั้ง ซึ่งครั้งที่ร้ายแรงคือมีการทำร้ายร่างกายตน โดยการจับแขนแล้วเหวี่ยงลงพื้นด้วยความแรงและจับหัวโขกพื้น และใช้เท้าถีบบริเวณหน้าอก เหยียบหลังไว้ไม่ให้หลบหนี ตนพยายามที่จะลุกขึ้นและหนีไปแต่กลับถูกขังพูดจาข่มขู่ไม่ให้หนี
จากนั้น ผู้ใหญ่ลียังได้ใช้อาวุธปืนข่มขู่ว่าหากคิดหนีจะใช้ปืนยิงตนและจะตามไปยิงลูกทั้งสองคนของตนให้ตาย ซึ่งในขณะถูกทำร้ายร่างกาย บุตรสาวของตนได้โทรวีดีโอคอลมา แต่ผู้ใหญ่ลีเป็นผู้รับสายและถ่ายภาพให้เห็นว่าตนถูกทำร้ายร่างกายพร้อมพูดจาข่มขู่จะทำร้ายร่างกายบุตรสาวด้วย
นางเอ๋ บอกว่า เบื้องต้นสิ่งที่ตนเองต้องการคือการได้รับอิสระ การหย่า และความปลอดภัย ไม่ได้ต้องการเอาเรื่องเอาเป็นตายแต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจึงต้องขอความช่วยเหลือไปยังทนายโบนิ พามาขอความเป็นธรรมกับผู้ว่าราชการจังหวัด อุบลราชธานี
ด้านนางสาวไก่ เปิดเผยว่าตนเองเห็นภาพจ่ากวีดีโอคอลว่าแม่ถูกทำร้ายจึงได้โทรขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านให้เข้าไปช่วยพร้อมทั้งให้แม่ไปแจ้งความและไปรับตัวออกมาอยู่กับพี่ชายในค่ายทหารเพื่อความปลอดภัยเพราะที่ผ่านมา ผู้ใหญ่ลีพยายามใช้กำลังและอาวุธปืนเถื่อนทำร้านแม่มาโดยตลอด สิ่งที่ตนเองและแม่ออกมาร้องความเป็นธรรมครั้งนี้เพราะตนเองรับไม่ได้กับพฤติกรรมที่ผู้ใหญ่ทำกับแม่ และเป็นการกู้ศักดิ์ของแม่กลับมาเพราะที่ผ่านมาผู้ใหญ่ลีทำร้ายร่างกายแม่ แล้วจะเอาไปพูดกับชาวบ้านและชู้ฟังว่าทำร้ายแม่ หากว่าไม่ไม่ยกมือไหว้ขอร้องตายไปนานแล้ว ซึ่งไม่ใช่วิสัยของลูกผู้ชาย
เบื้องต้น นายธนรัตน์ สุภาพันธ์ หัวหน้าสำนักงานจังหวัดอุบลราชธานี และผู้อำนวยการกลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดอุบลราชธานี กล่าว่าหลังจากได้รับหนังสือแล้ว ได้มีการประสานไปยังนายอำเภอกุดข้าวปุ้น จะได้มีการเรียกตัวผู้ใหญ่มาพูดคุยเจรจากับเหตุการที่เกิดขึ้นในเย็นวันนี้ ส่วนเรื่องข้อกล่าวหานั้นทางต้นสังกัดจะได้มีการสืบข้อเท็จจริงก่อน หากมีมูลก็จะได้ตั้งกรรมการเพื่อดำเนินการต่อไปตามขั้นตอน แม้ผลของการเจรจาจะตกลงกันได้หรือไม่ก็ตาม การดำเนินการสอบทางวินัยก็จะดำเนินการจนสุดกระบวนการ และหากพบว่ากระทำความผิดจริงจะมีโทษให้ออก หรือไล่ออก ซึ่งทั้งอาจจะใช้เวลาในการการดำเนินจนเสร็จสิ้น 4-5 เดือน