ข่าวด่วน
Sat. Sep 27th, 2025
มัตจะ

วันที่ 23 กันยายน 2568 รายการ “โคแฟคสนทนา รวมพลคนเช็กข่าว” ได้หยิบยกประเด็นร้อนแรงในโลกโซเชียลเกี่ยวกับกระแสการดื่มมัตจะะทุกวัน โดยมีคำถามว่าการบริโภคชาเขียวมัตจะในปริมาณมาก อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่ 

รายการนี้ดำเนินรายการโดย สุชัย เจริญมุขยนันท พร้อมด้วย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT  รองศาสตราจารย์ ดร.วันทนีย์ เกรียงสินยศอาจารย์ประจำหลักสูตรโภชนาการและการกำหนดอาหาร สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล รวมถึง ธัญพิชชา สร้อยสุวรรณ์ ตัวแทนคนรุ่นใหม่จากภาคีมหาสารคามที่เป็นนักดื่มมัตจะตัวยง

สุภิญญา กลางณรงค์ เปิดประเด็นด้วยการตั้งคำถามถึงความนิยมในมัตจะที่กลายเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตในหมู่คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่ราคาเครื่องดื่มมัตจะพรีเมียมอาจสูงถึงแก้วละ 80-300 บาท เธอตั้งข้อสังเกตว่า “มัตจะอาจเป็นอันตรายต่อกระเป๋าสตางค์!!” และแสดงความกังวลว่าการดื่มทุกวันอาจส่งผลต่อสุขภาพ เช่น การนอนไม่หลับจากคาเฟอีน หรือผลกระทบต่อผู้ป่วยบางกลุ่ม เช่น ผู้ที่เป็นเบาหวานหรือมีปัญหาการนอนหลับ

ธัญพิชชา สร้อยสุวรรณ์ เผยถึงพฤติกรรมการดื่มมัตจะในกลุ่มเพื่อนของเธอ โดยระบุว่า “ขั้นต่ำวันละ 2 แก้ว ขนาด 22 ออนซ์” และบางคนถึงขั้นดื่มแทนน้ำเปล่า โดยมักผสมกับน้ำมะพร้าวหรือน้ำส้ม แต่ไม่ใส่นมหรือวิปครีม 

เธอยังเล่าถึงกระแสในโซเชียลมีเดียที่แชร์ว่าการดื่มมัตจะทุกวัน อาจเสี่ยงต่อมะเร็ง ปัญหาตับ ความดันโลหิตสูง และลดการดูดซึมธาตุเหล็ก ซึ่งทำให้เธอและเพื่อนๆ เริ่มกังวล

รศ.ดร.วันทนีย์ เกรียงสินยศ อธิบายถึงประโยชน์และความเสี่ยงของมัตจะ โดยระบุว่า มัตจะแตกต่างจากชาเขียวทั่วไปเพราะใช้ใบชาทั้งใบที่บดละเอียด ทำให้มีปริมาณสารสำคัญ เช่น EGCG (สารต้านอนุมูลอิสระ) และกาเฟอีนสูงกว่าชาเขียวทั่วไปถึงสองเท่า การศึกษาบางชิ้นในหลอดทดลองและสัตว์ทดลองชี้ว่า EGCG อาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง แต่ยังไม่มีงานวิจัยในมนุษย์ที่ยืนยันผลชัดเจน 100% ในทางกลับกัน การบริโภค EGCG เกิน 800 มิลลิกรัมต่อวัน ตามที่หน่วยงานในยุโรปกำหนด อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพ

อาจารย์วันทนีย์แนะนำว่า เพื่อความปลอดภัย ควรจำกัดการดื่มมัตจะไม่เกินวันละ 1 แก้ว (ขนาด 16 ออนซ์หรือน้อยกว่า) โดยเฉพาะมัตจะที่มีคุณภาพสูงอาจมี EGCG สูงถึง 400-500 มิลลิกรัมต่อแก้วขนาด 16-22 ออนซ์ 

อาจารย์ยังเตือนถึงปริมาณกาเฟอีนที่สูง ซึ่งอาจส่งผลต่อการนอนหลับ และสารแทนนินในมัตจะที่อาจขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงที่มีประจำเดือน ซึ่งมีความเสี่ยงต่อภาวะโลหิตจางมากกว่าผู้ชาย

สำหรับกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยงมัตจะ อาจารย์วันทนีย์ระบุว่า ผู้ที่แพ้กาเฟอีน ผู้ที่มีปัญหากรดไหลย้อนหรือโรคกระเพาะ หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร และผู้ที่ใช้ยาวาร์ฟาริน (ยาละลายลิ่มเลือด) เนื่องจากมัตจะมีวิตามินเคสูง ซึ่งอาจรบกวนการทำงานของยา เธอแนะนำให้ดื่มในปริมาณที่เหมาะสมและสลับกับเครื่องดื่มอื่น เพื่อความหลากหลายและลดความเสี่ยงจากการบริโภคมากเกินไป

สุชัย เจริญมุขยนันท ถามถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมในการดื่ม ซึ่งอาจารย์แนะนำว่า ควรดื่มหลังอาหาร 2 ชั่วโมงเพื่อลดการรบกวนการดูดซึมธาตุเหล็ก และหลีกเลี่ยงการดื่มหลังบ่าย หากกังวลเรื่องการนอนหลับ เขายังสอบถามถึงทางเลือกอื่นๆ ซึ่งอาจารย์เผยว่า ส่วนตัวชอบชาไทยหวานน้อยหรือโยเกิร์ตสตรอว์เบอร์รี่ปั่นเป็นครั้งคราว โดยเน้นความหลากหลายในเครื่องดื่ม

สุภิญญา ปิดท้ายด้วยการเตือนว่า กระแสโซเชียลมีเดียมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการบริโภคของคนรุ่นใหม่ และแนะนำให้ดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้นเพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว พร้อมฝากถึงผู้ชมให้บริโภคอย่างพอดีเพื่อประหยัดทั้งสุขภาพและกระเป๋าสตางค์

รายการนี้สรุปว่า การดื่มมัตจะทุกวันในปริมาณน้อยไม่ก่อให้เกิดอันตรายที่ชัดเจน แต่ไม่จำเป็นต้องดื่มทุกวัน และควรบริโภคอย่างหลากหลายเพื่อรักษาสมดุลของร่างกายและควบคุมค่าใช้จ่าย

Related Post