ข่าวด่วน
Fri. Jun 27th, 2025
อินเดีย

.อุบลฯจัดเสวนาเพื่อเป็นพุทธบูชาในโอกาสอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุ

มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี โดยศูนย์ศึกษาอินเดีย และ สำนักวิทยบริการ ร่วมกับ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอุบลราชธานี และ สถานเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย และมูลนิธิหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ๑๕๐ ปี ชาตกาล จังหวัดอุบลราชธานีร่วมจัดเสวนาเพื่อเป็นพุทธบูชาในโอกาสอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุ ในหัวข้อ “จากมหานทีคงคาสู่ลุ่มน้ำโขงประวัติพระบรมสารีริกธาตุการเดินทางจากอดีตสู่ปัจจุบัน”  โดยมี ดร.ปิยะมาศทัพมงคล รองผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาอินเดียแห่งมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และนายธนภัทรจิตสุทธิผล ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 9 อุบลราชธานี กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน รับเกียรติจาก Shri Gurmeet Singh Chawla อธิบดี กระทรวงวัฒนธรรม สาธารณรัฐอินเดีย เป็นประธานเปิดการเสวนา ซึ่งมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.ปิยณัฐสร้อยคำผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี คุณนลินทิพย์น้อยวงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจังหวัดอุบลราชธานี และประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมงานจำนวนมาก ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา 

ดร.ปิยะมาศทัพมงคล รองผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาอินเดียแห่งมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี กล่าวว่า จังหวัดอุบลราชธานี เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางแห่งการเชื่อมโยงลุ่มน้ำโขงตอนล่าง อีกทั้งหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่พบเห็นได้ในพื้นที่ และแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี สะท้อนถึงความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมของอินเดียที่ปรากฏในลุ่มน้ำโขง ศูนย์ศึกษาอินเดียแห่งมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ซึ่งเป็นศูนย์บริการวิชาการ วิจัย และทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมด้านอินเดียศึกษาแห่งเดียวของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงได้จัดการเสวนาทางวิชาการเพื่อเป็นพุทธบูชาในโอกาสอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุ ในหัวข้อ “จากมหานทีคงคาสู่ลุ่มน้ำโขงประวัติพระบรมสารีริกธาตุการเดินทางจากอดีตสู่ปัจจุบัน”  โดยมีผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย  Prof.Amarjiva Lochan, University of Delhi   คุณเชาวนีเหล็กกล้า หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี  คุณพงษ์พิศิษฏ์กรมขันธ์ นักโบราณคดีชำนาญการ กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 9 อุบลราชธานี ดำเนินรายการและแปลโดย ดร.อัญชลีแสงทอง (มรภ.อบ.) และ ดร.สิวะกรณ์กฤษณสุวรรณ (มอบ.) ศูนย์ศึกษาอินเดียแห่งมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

นอกจากนี้ ศูนย์ศึกษาอินเดียแห่งมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ร่วมกับ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานียังจัดการแสดงนิทรรศการ ตามรอยพระศาสดาและพุทธสถานในอินเดีย The Buddhist Exhibition “Buddha Carika – in Footsteps of Buddha” เปิดให้ผู้สนใจเข้าชมตลอดเดือนมีนาคม 2567 อีกด้วย

ทิพย์วรรณ  เวฬุวนาธร นักประชาสัมพันธ์ ชำนาญการ ข่าว/ภาพ คณะวิทยาศาสตร์ ม.อุบลฯ

หลายท่านสงสัยว่า “ทำไมต้องอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ มาประดิษฐานที่อุบลราชธานี?

และ “ทำไมเลือกส่งเสด็จกลับอินเดียที่กระบี่”?

ทุกอย่างล้วนมีเหตุผล มีที่มา และเชื่อมโยงกัน

แอดมีโอกาสได้เข้าสัมภาษณ์ “คุณสุภชัย วีระภุชงค์”

เลขาธิการ “สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย ๙๘๐” ประเทศอินเดีย ก่อนงานสักการะพระบรมสารีริกธาตุที่อุบลราชธานีจะจบลง เมื่อคืนวานนี้

คำถาม : ทำไมจึงอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ มาที่อุบลราชธานี?

ได้รับคำตอบที่เป็นเหตุผลหลายประการที่มีความงดงามเหลือเกิน และแอดเรียบเรียงได้ดังนี้

“อุบลราชธานี” เป็นดินแดนมงคล เพราะเป็นดินแดนแสงแรกในสยาม ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นก่อนใครในสยาม

การได้เห็นแสงอาทิตย์ในแต่ละวันถือเป็นมงคลชีวิต บ่งบอกว่าเรายังมีชีวิตอยู่ เพื่อเรียนรู้และปฏิบัติธรรม

อุบลราชธานี เป็นแหล่งกำเนิดพระอริยสงฆ์มากมาย จึงเป็นแผ่นดินแห่งธรรมโดยแท้

เป็นจังหวัดเดียว ที่มีชื่อลงท้ายว่า “ราชธานี” และเมื่อรวมกับคำว่า “อุบล” เป็น “อุบลราชธานี” แปลว่า เมืองแห่งดอกบัว

 ซึ่งดอกบัวเป็นดอกไม้ที่ปรากฏในการ “ประสูติ, ตรัสรู้ และปรินิพพาน”

และพระพุทธองค์ เคยใช้ดอกบัวเปรียบมนุษย์ ๔ ระดับ หรือที่เรารู้จักกันดีจากคำสอนเรื่อง “ดอกบัวสี่เหล่า”

นอกจากนี้ โครงการที่อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาประเทศไทยคราวนี้

ได้ตกลงกับอินเดียใช้ชื่อว่า “ธรรมยาตรา จากมหานทีคงคา สู่แม่น้ำโขง”

“อุบลราชธานี” จึงถูกเลือกด้วยมีแม่น้ำโขงและมีจุดเชื่อมระหว่างแม่น้ำ ๒ สาย โดยมีแม่น้ำโขงบรรจบกับแม่น้ำมูล (แม่น้ำ ๒ สี)

เสมือนว่า “มหานทีคงคา” ได้บรรจบกับแม่น้ำโขง อย่างงดงาม

#กระบี่ ถูกเลือกเป็นพื้นที่ส่งเสด็จครั้งประวัติศาสตร์

การที่คนไทยมีโอกาสได้กราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุในครั้งนี้ เหตุผลหนึ่งคือ

ปีนี้ เป็นปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา “พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว” ๗๒  พรรษา

ซึ่งเป็นเรื่องอัศจรรย์ว่า อินเดียได้รับพระอรหันตธาตุที่อัญเชิญมาในครั้งนี้คืนจาก “พิพิธภัณฑ์วิคตอเรียอัลเบิร์ต” ในปี ๑๙๔๘ 

ได้บรรจุเอาไว้ในวิหาร ในปี ๑๙๕๒ ไม่เคยเสด็จออกนอกประเทศเลย เป็นระยะเวลา ๗๒ ปี

และเสด็จมาที่ไทยเพราะ “ธรรมราชา” ผู้เป็นจอมทัพแห่งธรรมเป็นที่แรกในโลก

ซึ่งเป็นความมหัศจรรย์ที่ตัวเลขทั้ง ๒ ตรงกัน

จุดเชื่อมโยงระหว่าง “กระบี่” กับ “อุบลราชธานี” คือ

 “อุบลราชธานี” เป็นจังหวัด “แสงแรก”

ส่วน “กระบี่” เป็น “จังหวัดแรก” ของประเทศ หากเรียงตามตัวอักษร

“กระบี่” เป็นจังหวัดที่พบช้างเผือกประจำรัชกาลที่ ๙

นอกจากนี้ “มูลนิธิวีระภุชงค์” ได้ร่วมกับ “มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย” ได้ทำการศึกษาเรื่อง “ความเชื่อพญานาค ๕ แผ่นดิน”

ได้แก่ “ไทย พม่า กัมพูชา ลาว เวียดนาม”

พบว่าความเชื่อด้านพญานาคที่มีทางกายภาพเกิดขึ้นครั้งแรก ที่กระบี่ คือ “เขาหงอนนาค”

ที่ประดิษฐาน “ปู่ภุชงค์นาคราช” นาคาธิบดี ลำดับที่ ๓ ที่ปกปักรักษาทะเลใต้

โดยเฉพาะทะเลอันดามัน ที่กระบี่ ที่เป็นเมืองท่าสำคัญในอดีต

โดยหลักฐานปรากฏเป็น “ลูกปัดคลองท่อม” ที่ส่งไปขายยังเปอร์เซีย

“กระบี่” จึงเป็นสถานที่สำคัญ ที่ผู้สัญจรทางทะเลมาไทย ต้องผ่านมา

เช่นเดียวกับ “พระเจ้าอโศกมหาราช” ที่ทรงออกเผยแผ่พระพุทธศาสนาทั่วโลก

วัดที่เป็นสถานที่ส่งเสด็จพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุกลับอินเดีย คือ “วัดมหาธาตุวชิรมงคล” ซึ่งเป็นชื่อที่เป็นมงคลยิ่ง

ปรากฏพระนาม “วชิระ” ซึ่งเป็นพระนามของ “พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว” เป็นมงคลอย่างยิ่ง

เพราะการอัญเชิญมา ก็เนื่องในโอกาส “เฉลิมพระชนมพรรษา ๗๒ พรรษา” ด้วย

ด้วยเหตุนี้…….

“กระบี่” จึงถูกเลือกให้เป็นพื้นที่ส่งเสด็จ ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๘ มีนาคม ๒๕๖๗

โดยปกติแล้ว การเปิดให้สักการะพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ

อินเดียจะเปิดให้สักการะปีละ ๑ วัน เท่านั้น

แต่คนไทยโชคดีมาก ที่ได้สักการะพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุ ถึง ๒๖ วัน ด้วยกันใน ๑ ปี

ไม่รู้อีกกี่ร้อยปี จะมีโอกาสแบบนี้อีก และหากสังเกตให้ดีจะเห็นว่า “พระบรมสารีริกธาตุ” และ “พระอรหันตธาตุ” อัครสาวก

เป็นเหมือน “กระดูกมนุษย์” ทั่วไป สื่อให้เห็นว่า พระองค์เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ที่เหมือนกับเรา

แต่สามารถค้นพบทางดับทุกข์สู่พระนิพพาน แล้วทรงได้พระราชทานแนวทางแห่งการดับทุกข์ไว้ให้เราชาวพุทธทุกคนแล้ว

โอกาสมหามงคลนี้ จึงเป็นโอกาสดี ที่ชาวพุทธของไทย และประเทศเพื่อนบ้าน

จะได้กล่อมเกลาจิตใจ ยกระดับจิต ใช้ชีวิตแบบรู้ลมหายใจเข้า-ออก ตามรอยพระพุทธองค์

#ครั้งหนึ่งในชีวิตได้ใกล้ชิดพระพุทธองค์

แอดมิน ยื้อยุด ขอกราบอนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ได้ร่วมบุญครั้งสำคัญนี้ และขอประกาศธรรมนี้ สู่ชาวพุทธทุกผู้นาม

เรียบเรียงจากเทปสัมภาษณ์ : คุณสุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการ “สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย ๙๘๐” 

๑๕ มีนาคม ๒๕๖๗ เวลา ๐๐.๐๔ น.

Related Post